Lisa Drayer นักโภชนาการประจำสำนักข่าว CNN ระบุถึงประโยชน์ดีๆ ของอะโวคาโดที่อยากให้ทุกคนได้ลองกินเอาไว้ 4 ข้อสั้นๆ ดังนี้
กระทรวงเกษตรของอเมริการะบุว่า อะโวคาโด 100 กรัม มีโพแทสเซียม 485 มิลลิกรัม เมื่อเทียบกับกล้วยในปริมาณเท่ากันแล้ว มีโพแทสเซียมเพียง 358 มิลลิกรัม โพแทสเซียมช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท และช่วยลำเลียงสารอาหารในร่างกายให้สามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประโยชน์ นอกจากนี้ยังช่วยลดความดันโลหิต เพราะโพแทสเซียมช่วยทำให้ร่างกายขับเอาโซเดียมส่วนเกินจากที่ร่างกายออกไปผ่านปัสสาวะด้วย
อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ดีต่อร่างกาย
อะโวคาโดมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fats) ช่วยเข้าไปลดปริมาณไขมันเลว (LDL) ในร่างกายได้ นอกจากนี้ยังเข้าไปช่วยการก่อตัวของไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ลดความเสี่ยงของหลอดเลือดอุดตันได้อีกด้วย
อะโวคาโด 100 กรัมมีกากใยอาหารราว 7 กรัม อาหารที่มีกากใยอาหารสูงจะช่วยให้รู้สึกอิ่ม และอยู่ท้องได้นานขึ้น อะโวคาโดจึงเป็นตัวเลือกที่ดีของหลายๆ คนที่กำลังอยู่ในระหว่างควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้กากใยอาหารยังช่วยให้การทำงานของระบบขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือพูดง่ายๆ คือช่วยลดความเสี่ยงของอาการท้องผูกนั่นเอง
ผลไม้ที่มีไขมันมักอุดมไปด้วยโฟเลต โดยในอะโวคาโด 100 กรัมจะมีโฟเลตอยู่ราวๆ 81 ไมโครกรัม โดยโฟเลตเป็นวิตามิน B ที่สำคัญต่อการพัฒนาของสมองและยังช่วยบำรุงครรภ์อีกด้วย โดยแนะนำให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์กินโฟเลตราว 400 ไมโครกรัมทุกวันเพื่อให้ลูกน้อยสุขภาพร่างกายแข็งแรง โดยเฉพาะพัฒนาการของสมองที่ดี และช่วยให้กระดูกสันหลังแข็งแรงด้วย
ควรกิน "อะโวคาโด" ลูกที่สุกแล้ว วิธีเลือกคือ ลองบีบที่ลูกจะนิ่มๆ และจากการสังเกตที่ขั้วของลูก ควรเป็นสีน้ำตาลเหลือง ไม่ใช่น้ำตาลเข้ม (สุกเกินไป) หรือเขียวอ่อน (อ่อนเกินไป) ใช้มีดผ่าครึ่งตามแนวยาวรอบๆ เม็ดอะโวคาโดที่จะอยู่ตรงกลาง แบ่งแกะออกมาเป็นสองซีก แล้วใช้มีดสับตรงเม็ดเบาๆ ไม่ต้องลึกมาก แล้วดึงเม็ดออก จากนั้นจะใช้ช้อนขูดเนื้อออกมา หรือผ่าเป็นแว่นๆ แล้วค่อยลอกเปลือกออกมาก็ได้
สามารถกินเนื้ออะโวคาโดเพียวๆ ได้เลย หรือจะนำมาทาขนมปังกินแทนเนย นอกจากนี้ยังสามารถใส่ลงไปในสลัด โยเกิร์ต และอื่นๆ เหมือนการกินผลไม้ทั่วไปได้ตามใจชอบ
ขอบคุณที่มาจาก สนุก.คอม