Advertisement
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนและมีท่าทีว่าจะยืดเยื้อไปอีกเป็นเวลานาน ได้ส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษาในทุกพื้นที่ทั่วโลก ที่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สอดคล้องกับสถานการณ์และมาตรการที่แตกต่างกันไป สำหรับประเทศไทยเองก็ได้มีการนำการจัดการเรียนการสอนหลากหลายรูปแบบมาปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็น การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (On-Air) การเรียนรู้ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ (On-Demand) การเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Online) และการเรียนแบบปกติที่โรงเรียนภายใต้มาตรการความปลอดภัย (On-Site) โดยสถานศึกษาแต่ละแห่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีข้อจำกัดและอุปสรรคในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป
เมื่อโรงเรียนต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเรียนการสอนมาเป็นระบบทางไกล จึงกลายเป็นความท้าทายของทั้งครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษาที่จำเป็นต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้น่าสนใจ สามารถกระตุ้นและจูงใจผู้เรียนให้มีส่วนร่วมมากที่สุด เนื่องจากการเรียนออนไลน์ที่บ้านทำให้เด็กต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้เทียบเท่ากับการเรียนในห้องเรียน ซึ่งอาจส่งผลให้เด็กเกิดช่องว่างทางการเรียนรู้ได้ เทคโนโลยีต่างๆ จึงถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบห้องเรียนท่ามกลางภาวะวิกฤตในครั้งนี้ โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมกับกระบวนการเรียนรู้ ผ่านกิจกรรมที่หลากหลายทั้งบนแพลตฟอร์มออนไลน์และนอกห้องเรียน โดยวันนี้จะพาไปทำความรู้จักกับแนวทางการจัดการเรียนการสอนในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ประสบความสำเร็จ จาก 4 โรงเรียน ว่ามีเทคนิคที่น่าสนใจอย่างไรในการออกแบบห้องเรียนให้มีประสิทธิภาพและยังเป็นที่ชื่นชอบของนักเรียน
โรงเรียนบ้านค่ายเป็นอีกหนึ่งโรงเรียนที่เจอกับปัญหาเด็กนักเรียนหลุดออกนอกระบบเช่นเดียวกับในอีกหลายพื้นที่หลังจากต้องเผชิญกับการปิดเรียนและการสอนทางไกลเป็นระยะเวลานาน โรงเรียนได้ปรับใช้การเรียนการสอนมาทุกรูปแบบ ทั้ง On-Hand On-Demand และ Online ผู้บริหารและครูที่โรงเรียนบ้านค่ายได้ร่วมกันหารือถึงแนวทางปรับตัวในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์เพื่อค้นหาวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยยึดเด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เหล่าคุณครูได้นำกลยุทธ์การสอนผ่านหน้าจอในรูปแบบแม่ค้าออนไลน์มาปรับใช้ในการสอน ซึ่งเกิดขึ้นมาจากไอเดียของครูคนหนึ่งในโรงเรียนที่ชื่นชอบการดูไลฟ์สดขายสินค้าเป็นประจำ วิธีนี้เริ่มจากการสมมติในหมู่ครูว่ากำลังเปิดร้านไลฟ์สดออนไลน์ในแต่ละวัน และสวมบทบาทเป็นแม่ค้าขายของออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงกำลังขายวิชาความรู้ให้กับเด็กนักเรียน โดยใช้การสอนร่วมกันถึง 3 คนในรายวิชาเดียว มีการรับส่งมุกตลกเพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้กับนักเรียนอย่างสนุกสนาน และต่อยอดมาเป็นห้องเรียนออนไลน์ที่เน้น “เรียนปนเล่น” เพื่อฝึกให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมด้วยการพูดคุยแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ในบรรยากาศที่ไม่เครียดหรือน่าเบื่อ ได้ทั้งความสนุกและประโยชน์จากเนื้อหาความรู้ และเมื่อนักเรียนมีความสุขในการเรียน อยากมีส่วนร่วมกับห้องเรียนอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ครูเกิดแรงบันดาลใจในการจัดการเรียนการสอนต่อไปในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้
โรงเรียนวัดบ้านไร่ (ประชานุกูล) นำกลไก Makerspace และ STEAM Design Process มาปรับใช้เสริมการจัดการเรียนการสอน จากเดิมที่เด็กต้องเรียนตามที่ครูกำหนด เปลี่ยนเป็นให้เด็กสามารถเลือกเรียนในสิ่งที่อยากเรียนได้ผ่านฐาน Makerspace ทุกวันอังคารช่วงบ่ายเป็นเวลาสามชั่วโมง เช่น การประดิษฐ์ ดนตรี ศิลปะ หรือแม้แต่การทำอาหาร หากเรียนแล้วรู้สึกไม่ชอบก็สามารถเปลี่ยนได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งทำให้เด็กได้เรียนในสิ่งที่สนใจ ไม่ใช่การถูกบังคับให้เรียน จึงไม่ทำให้เกิดการต่อต้านหรือเบื่อหน่ายที่จะเรียน นอกจากนี้สำหรับวิชาพื้นฐาน ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ ก็จะใช้ STEAM Design Process หรือแนวทางการจัดการเรียนการสอนให้เกิดการเรียนรู้และบูรณาการความรู้จาก 5 สาระวิชาหลักเข้าด้วยกัน ล้มเลิกการสอนแบบท่องจำและเปิดกว้างความรู้นอกห้องเรียน ให้เด็กได้คิด ได้ลงมือปฏิบัติเพื่อค้นหาความรู้ด้วยตัวเองจากทุกพื้นที่อย่างอิสระ ไม่ว่าจากอินเทอร์เน็ต จากยูทูบ หรือจากเกม โดยมีครูทำหน้าที่เป็นผู้คอยชี้แนะ ทั้งหมดไม่มีรูปแบบตายตัว เป็นอิสระของคุณครูที่จะออกแบบการเรียนการสอนของตัวเอง โดยมีผู้บริหารสถานศึกษาคอยติดตามผลเพื่อหาแนวทางปรับปรุงต่อไป
การกำหนดสัดส่วนคาบเรียนและเนื้อหาในแต่ละสัปดาห์ในรูปแบบเดิม นับเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาที่กระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอน เมื่อต้องเปลี่ยนรูปแบบมาจัดการเรียนการสอนออนไลน์ โรงเรียนบ้านห้วยปลิงจึงได้ผนวกรายวิชาต่างๆ เข้าด้วยกัน และได้นำเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน หรือ Problem-Based Learning (PBL) มาใช้ คือการให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง สร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง โดยใช้ปัญหาที่สามารถพบเจอได้ใกล้ตัวในชีวิตประจำวันเป็นตัวนำในการเรียนรู้ ครูเปลี่ยนบทบาทครูจากผู้สอนหน้าชั้นเรียนตลอดคาบ เป็นผู้ดูแลกระบวนการ และผู้สร้าง “สถานการณ์” เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ โดยโรงยังคงยืนพื้นด้วยเนื้อหาวิชาหลัก ภาษาไทย คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และในวิชาที่เหลือ อาทิ วิทยาศาสตร์ สังคม การงานอาชีพและเทคโนโลยี สุขศึกษาและพละศึกษา จะถูกบูรณาการร่วมกันเป็น “หน่วยเรียนรู้” ตามโจทย์ต่างๆ เช่น ของเล่นพื้นบ้าน สมุนไพรผักพื้นถิ่น ให้เด็กได้เรียนรู้จากสภาพแวดล้อมรอบตัว แล้วจึงนำสิ่งที่ได้กลับมาถกเถียงและแลกเปลี่ยนกันผ่านห้องเรียนออนไลน์ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นพบว่าเด็กๆ มีความกล้าแสดงออกมาขึ้น สามารถคิดวิเคราะห์ และมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการเรียนในรูปแบบเดิม รวมทั้งยังได้รับความสนุกสนานในการเรียนมากขึ้น
ภาวะความรู้ถดถอยและช่องว่างของการเรียนรู้เป็นปัญหาที่โรงเรียนวัดดอนพุดซากำลังเผชิญ หลังจากเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ได้ไม่นาน โดยเฉพาะในเด็กเล็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 ที่มีปัญหาด้านการอ่านออกเขียนได้ ต้องกลับมาเริ่มเรียนใหม่อีกครั้ง ส่วนเด็กชั้นโตขึ้นมาก็มีปัญหาในการเรียนออนไลน์เช่นกัน โดยพบว่ามีนักเรียนเข้าเรียนออนไลน์ได้เพียงแค่ร้อยละ 10 ในช่วงที่ผ่านมา โรงเรียนจึงต้องปรับรูปแบบมาใช้การเรียนการสอนแบบออนแฮนด์ควบคู่กับ “กระเป๋าแดงแห่งการเรียนรู้” ที่ได้รับการต่อยอดมาจากนวัตกรรมกล่องการเรียนรู้ (Learning Box) โดยออกแบบใช้สีแดงซึ่งเป็นสีประจำโรงเรียน และประยุกต์วัสดุ อุปกรณ์ข้างในให้เข้ากับบริบทของแต่ละพื้นที่ ภายในบรรจุอุปกรณ์สื่อการสอนสำหรับต่อยอดสร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเองที่บ้าน สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งในช่วงปิดเรียนและช่วงการเรียนแบบออนแฮนด์เพื่อให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้โรงเรียนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูผู้สอน ทั้งเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศที่ต้องนำมาประยุกต์ใช้กับการสอนในรูปแบบที่ไม่คุ้นเคย การออกแบบการจัดการเรียนการสอนที่น่าสนใจ และการออกแบบสื่อต่างๆ ที่จะนำไปใส่ในกระเป๋าแดงแห่งการเรียนรู้ รวมึงการตรวจวัดประเมินผลผู้เรียน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันหลายโรงเรียนจะกลับมาเปิดเรียนแบบออนไซต์แล้ว แต่ด้วยความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทำให้ภาคการศึกษาต้องหาแนวทางรับมือกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการศึกษาที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยต้องคำนึงถึงตัวเด็กเป็นสำคัญ เพราะเด็กแต่ละคนต่างมีอุปสรรคข้อจำกัดในการเข้าถึงการศึกษาที่แตกต่างกัน ทั้งผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนยังคงต้องหาแนวทางการจัดการเรียนการสอนทางไกลที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อฟื้นฟูปัญหาภาวะความรู้ถดถอยที่เกิดขึ้นในเด็กทุกช่วงวัยจากวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ รวมทั้งช่วยเหลือและเฝ้าระวังไม่ให้มีเด็กและเยาวชนที่ต้องหลุดออกนอกระบบไปมากกว่านี้ ทั้งหมดนี้นับเป็นอีกหนึ่งภารกิจของ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ที่ได้กำหนดกรอบการปฏิรูประบบการศึกษาไทยเชิงนโยบาย เรื่อง การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยและป้องกันเด็กเยาวชนออกจากระบบการศึกษา (บิ๊กร็อกที่ 1) ซึ่งต้องอาศัยการระดมความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาไทยให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรม ของ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ได้ใน 4 ช่องทาง ดังนี้ เว็บไซต์ https://www.thaiedreform2022.org เฟซบุ๊กแฟนเพจ https://web.facebook.com/Thaiedreform2022 ยูทูบช่อง ‘thaiedreform2022’ และทวิตเตอร์ https://twitter.com/Thaiedreform22
Advertisement
เปิดอ่าน 108,765 ครั้ง เปิดอ่าน 100,094 ครั้ง เปิดอ่าน 14,165 ครั้ง เปิดอ่าน 41,892 ครั้ง เปิดอ่าน 13,970 ครั้ง เปิดอ่าน 28,568 ครั้ง เปิดอ่าน 18,118 ครั้ง เปิดอ่าน 384,378 ครั้ง เปิดอ่าน 58,899 ครั้ง เปิดอ่าน 18,769 ครั้ง เปิดอ่าน 146,415 ครั้ง เปิดอ่าน 420,489 ครั้ง เปิดอ่าน 13,843 ครั้ง เปิดอ่าน 54,463 ครั้ง เปิดอ่าน 22,877 ครั้ง เปิดอ่าน 52,313 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,120 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 17,400 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 60,329 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 112,409 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 33,196 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 28,271 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 6,670 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 14,688 ครั้ง |
เปิดอ่าน 34,222 ครั้ง |
เปิดอ่าน 18,214 ครั้ง |
เปิดอ่าน 18,139 ครั้ง |
เปิดอ่าน 13,138 ครั้ง |
|
|