ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมข่าวการศึกษา  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

ขรก.เฮ! ครม.ไฟเขียวลาคลอดเต็มพิกัด 188 วัน ขรก.ชายลาเลี้ยงลูก 15 วันสอดคล้องอนามัยโลก


ข่าวการศึกษา 11 ม.ค. 2565 เวลา 14:05 น. เปิดอ่าน : 18,165 ครั้ง
ขรก.เฮ! ครม.ไฟเขียวลาคลอดเต็มพิกัด 188 วัน ขรก.ชายลาเลี้ยงลูก 15 วันสอดคล้องอนามัยโลก

Advertisement

ครม.ไฟเขียว ขรก.หญิงลาคลอด 188 วัน-ขรก.ชายลาเลี้ยงลูก 15 วัน สอดคล้องหลักสากลตามแนวทางองค์การอนามัยโลก

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบหลักการร่างมาตรการสนับสนุนสตรีให้เป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ เพื่อเป็นมาตรการคุ้มครอง สนับสนุน และอำนวยความสะดวกให้ผู้หญิงสามารถเข้ามามีบทบาททางด้านเศรษฐกิจ ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ชายในการเลี้ยงดูบุตร และสร้างกลไกการพัฒนาเด็กเพื่อลดภาระให้กับผู้หญิงที่ทำงานซึ่งสอดคล้องกับหลักการตามรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) ที่ไทยเข้าร่วมเป็นรัฐภาคี ซึ่งมาตรการนี้ครอบคลุม 3 กลุ่มเป้าหมาย คือกลุ่มแรงงานหญิงในระบบและนอกระบบ จำนวน 17,366,400 คน, กลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว 1,061,082 คน และกลุ่มผู้หญิงสูงอายุที่เป็นผู้เลี้ยงดูเด็ก 379,347 คน มีรายละเอียดดังนี้

(1) จัดบริการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี โดยขยายบริการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กให้รับอายุ 0-3 ปี และขยายเวลาเปิด–ปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็กให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนทำงานตามบริบทของพื้นที่

(2) ส่งเสริมการลาของสามี (ข้าราชการชาย) เพื่อช่วยภรรยาดูแลบุตรหลังคลอด โดยให้ข้าราชการชายมีสิทธิลาได้ 15 วันทำการ เป็นช่วงๆ ไม่ติดต่อกันจนครบวันลา

(3) ขยายวันลาคลอดของแม่ (ข้าราชการหญิง) เป็นเวลา 98 วัน โดยได้รับค่าจ้าง ซึ่งเพิ่มจากระเบียบเดิมที่ให้ลาได้ไม่เกิน 90 วัน ทั้งนี้เมื่อครบ 98 วันแล้ว สามารถลาได้อีกไม่เกิน 90 วัน โดยได้รับเงินเดือนร้อยละ 50 ของเงินเดือน รวมวันลาคลอดทั้งสิ้น 188 วัน หรือประมาณ 6 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่องค์การอนามัยโลกและกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติระบุว่า ควรให้บุตรได้รับนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด

น.ส.รัชดากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้ พม.รับข้อเสนอแนะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาหาข้อสรุปที่ชัดเจน ก่อนเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และหน่วยงานกลางบริหารทรัพยากรบุคคลในส่วนราชการต่างๆ ดำเนินการปรับแก้ระเบียบต่อไป.

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก เดลินิวส์ วันที่ 11 มกราคม 2565

Advertisement

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการสนับสนุนสตรีให้เป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ (มาตรการสนับสนุนสตรีฯ) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ

(11 มกราคม 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ผ่านระบบ Video Conference) ซึ่งสรุปสาระสำคัญ ได้แก่

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการสนับสนุนสตรีให้เป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ (มาตรการสนับสนุนสตรีฯ) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ ประกอบด้วยมาตรการย่อย จำนวน 3 มาตรการ ได้แก่

1) จัดบริการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี โดยขยายบริการของศูนย์เด็กเล็ก/สถานรับเลี้ยงเด็ก ให้รับอายุ 0 - 3 ปี และขยายเวลาเปิด - ปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก/สถานรับเลี้ยงเด็กให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนทำงาน ตามบริบทของพื้นที่

2) ส่งเสริมการลาของสามีเพื่อช่วยภรรยาดูแลบุตรหลังคลอด (Paternity Leave) โดยปรับแก้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2555 (ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาฯ) โดยให้ข้าราชการชายสามารถลาไปช่วยเหลือภรรยาที่คลอดบุตร จากเดิม ลาครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ไม่เกิน 15 วันทำการ เป็น ให้ลาได้ 15 วันทำการ เป็นช่วง ๆ ไม่ติดต่อกันจนครบวันลา

3) ขยายวันลาคลอดของแม่โดยได้รับค่าจ้าง (Maternity Leave with Pay) โดยแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาฯ โดยแก้ไขวันลาคลอดบุตรของข้าราชการ จากเดิม 90 วัน เป็น 98 วัน และเสนอประเด็นแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาฯ โดยให้ข้าราชการที่ลาคลอดบุตรแล้ว 98 วัน สามารถลาได้อีกไม่เกิน 90 วัน โดยได้รับเงินเดือน ร้อยละ 50 ของเงินเดือนปกติ

และให้ พม. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาในรายละเอียด โดยนำความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ไปประกอบการพิจารณาให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

สาระสำคัญของเรื่อง
พม. รายงานว่า

1. จากข้อมูลสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจพบว่า ผู้หญิงมีบทบาททางด้านเศรษฐกิจน้อยกว่าผู้ชาย [ผู้หญิงมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานน้อยกว่าผู้ชาย (ผู้ชาย 20.56 ล้านคน ผู้หญิง 17.36 ล้านคน) ทั้งแรงงานในระบบ (ผู้ชาย 9.35 ล้านคน ผู้หญิง 8.20 ล้านคน) และแรงงานนอกระบบ (ผู้ชาย 11.20 ล้านคน ผู้หญิง 9.16 ล้านคน)] และผู้หญิงมีอัตราการว่างงานที่สูงกว่าผู้ชาย ถึงแม้ว่าสัดส่วนประชากรผู้หญิงจะมีมากกว่าประชากรผู้ชายก็ตาม เนื่องจากผู้หญิงถูกกำหนดให้มีบทบาทเป็นผู้รับภาระทำงานบ้านและงานนอกบ้าน ส่งผลให้ผู้หญิงขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง และต้องใช้เวลาการทำงานส่วนหนึ่งไปกับการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร ทำให้ถูกมองว่ามีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยกว่าผู้ชาย อีกทั้งตลาดแรงงานยังเห็นว่าการตั้งครรภ์ของผู้หญิงเป็นการเพิ่มต้นทุนให้แก่สถานประกอบการ

2. คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นประธาน) ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนสตรีฯ ซึ่งเป็นมาตรการที่กำหนดขึ้นเพื่อคุ้มครองและสนับสนุน รวมถึงอำนวยความสะดวกให้ผู้หญิงสามารถเข้ามามีบทบาททางด้านเศรษฐกิจ โดยสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ชายในการเลี้ยงดูบุตร และสร้างกลไกการพัฒนาเด็กเพื่อลดภาระให้แก่ผู้หญิงที่ทำงาน ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายตามมาตรการที่ประกอบด้วย กลุ่มแรงงานหญิง กลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว และกลุ่มผู้หญิงสูงอายุที่ต้องเป็นผู้เลี้ยงดูเด็กทั่วประเทศ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงสามารถปฏิบัติงานได้เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการมีงานทำ การมีรายได้ ความก้าวหน้าที่ควรได้รับของผู้หญิง ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างต่อความเสมอภาคเท่าเทียม การพัฒนาสถาบันครอบครัวและภาพลักษณ์อันดีของประเทศในระยะต่อไปอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้ง พม. (กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว) ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรการด้วยแล้ว โดยมีสาระสำคัญของมาตรการสนับสนุนสตรีฯ สรุปได้ ดังนี้

  

หัวข้อ

รายละเอียด

หลักการ

สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 27 และมาตรา 48 รวมทั้งสอดคล้องกับหลักการของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women: CEDAW) ที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นรัฐภาคี ซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อให้รัฐภาคีใช้มาตรการที่เหมาะสม เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงด้วยเหตุผลอันเนื่องมาจากการแต่งงานหรือการเป็นเพศมารดา ทั้งในด้านการศึกษาและด้านการจ้างงาน เช่น การห้ามไม่ให้มีการปลดเพราะเหตุแห่งการตั้งครรภ์หรือการลาคลอดบุตร การเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของสถานภาพในการแต่งงาน การลาคลอดบุตรโดยให้ได้รับค่าจ้าง การสร้างเสริมให้มีการจัดตั้งและพัฒนาขอบข่ายของสวัสดิการด้านภาระเลี้ยงดูเด็ก เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตครอบครัวและการทำงาน และเพื่อสร้างสังคมที่เกิดจากจากมีส่วนร่วมของผู้หญิงและผู้ชาย

มาตรการสนับสนุนสตรีฯ

มาตรการย่อย/
แนวทางการปฏิบัติ

ประโยชน์

ความเห็นและข้อเสนอแนะของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น

(1) จัดบริการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี
- ให้กระทรวง มหาดไทย (มท.) และกรุงเทพมหานคร
(กทม.) ขยายบริการของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก/สถานรับเลี้ยงเด็ก
โดยให้รับเด็กตั้งแต่อายุ 0 - 3 ปี และขยายเวลาเปิด - ปิดให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนทำงาน

1) ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงด้านการจ้างงาน ทำให้เกิดนโยบายที่มีลักษณะเป็นมิตรต่อผู้หญิง (women friendly) ส่งผลโดย ตรงต่อการสร้างความเท่าเทียมระหว่างเพศ เอื้อต่อการออกไปทำงานนอกบ้านของผู้หญิงอย่างเต็มที่ และช่วยลดข้อกล่าวอ้างในการถูกเลือกปฏิบัติในตลาดแรงงาน
2) การพัฒนาเด็กในช่วงประถมวัยจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำตั้งแต่จุดเริ่มต้นของชีวิต นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้จัดบริการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กครอบคลุมช่วงอายุ 2 - 3 ปี อยู่แล้วสำหรับการขยายบริการให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ควรกำหนดแนวทางให้ อปท. พิจารณาดำเนินการตามความพร้อมของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและความต้องการในแต่ละพื้นที่โดยรัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณ
อัตรากำลังครู ผู้ดูแลเด็กในแต่ละช่วงอายุ รวมถึงการพัฒนาทักษะความเชี่ยวชาญในการดูแลเด็กอย่างถูกต้องเช่นเดียวกับ กทม. ที่มีการรับดูแลเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี โดยสำนักการแพทย์และสำนักอนามัยเป็นผู้รับผิดชอบ (มท.)
2) การขยายเวลาเปิด ปิดให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนทำงานต้องคำนึงถึงความพร้อม สภาพบริบทที่ตั้ง การประกอบอาชี ความต้องการของผู้ปกครอง และงบประมาณที่ อปท. ใช้ดำเนินการดังกล่าว (มท. และ กทม.)

(2) ส่งเสริมการลาของสามีเพื่อช่วยภรรยาดูแลบุตรหลังคลอด
- ให้ พม. เสนอประเด็น
ในการปรับแก้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาฯ โดยให้ข้าราชการชายสามารถลาไปช่วยเหลือภรรยาที่คลอดบุตรจากเดิมลาครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ไม่เกิน 15 วันทำการ เป็นให้ลาได้ 15 วันทำการ เป็นช่วง ๆ ไม่ติดต่อกันจนครบวันลา

1) ส่งเสริมให้สามีมีส่วนร่วมในการดูแลบุตร
2) ส่งผลดีต่อชีวิตครอบครัวผู้หญิง และบุตร ทำให้การหย่าร้างลดลง เด็กที่เติบโตในสภาพที่คู่รักมีความ สัมพันธ์เท่าเทียมกันมีโอกาสสูงที่จะเป็นเด็กที่มีความสุข มีผลการเรียนดี สุขภาพดี เห็นคุณค่าในตัวเอง และมีพฤติกรรมในการสร้างปัญหาน้อยลง

1) ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของหน่วยงานกลางบริหารทรัพยากรบุคคลสำหรับข้าราชการประเภทอื่น ๆ ในส่วนที่
เกี่ยวข้อง นอกเหนือ จากข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามพระราช บัญญัติระเบียบข้า ราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 (สำนักงาน ก.พ.)
2) ต้องสร้างการรับรู้ความเข้าใจกับผู้ประกอบการให้ชัดเจน และศึกษาวิเคราะห์บทบาทของหน่วยงานที่จะรองรับมาตรการที่เกิดขึ้น เพื่อลดความซ้ำซ้อนของภารกิจที่คล้ายคลึงกัน (กระทรวงแรงงาน) (รง.)

(3) ขยายวันลาคลอดของแม่โดยได้รับค่าจ้าง
ให้ พม. เสนอประเด็น
แก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาฯ โดยแก้ไขวันลาคลอดบุตรของข้าราชการจากเดิม 90 วัน เป็น 98 วัน
ให้ พม. เสนอประเด็น
แก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาฯ โดยให้ข้าราชการที่ลาคลอดบุตรแล้ว 98 วัน สามารถลาได้อีกไม่เกิน 90 วัน โดยได้รับเงินเดือนร้อยละ 50ของเงินเดือนปกติ

1) ปรับเปลี่ยนจำนวนวันลาคลอดของข้าราชการให้เท่ากับภาคเอกชน
2) สนับสนุนนโยบายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกที่ตั้งเป้าหมายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน

ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอ แนะของหน่วยงานกลางบริหารทรัพยากรบุคคล สำหรับข้า ราชการประเภทอื่น ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง (สำนักงาน ก.พ.)

กลุ่มเป้าหมาย

(1) กลุ่มแรงงานหญิง จำนวน 17,366,400 คน* จำแนกเป็นแรงงานหญิงในระบบ จำนวน 8,205,700 คน และแรงงานหญิงนอกระบบ จำนวน 9,160,700 คน เป็นกลุ่มที่ต้องคำนึงถึงอย่างเร่งด่วน เนื่องจากกระแสการพัฒนาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) เน้นไปที่การแข่งขันทางทักษะเป็นอย่างสูง และเพื่อให้การทำงานของแรงงานสตรีเกิดประสิทธิภาพ จึงต้องแบ่งเบาภาระเรื่องงานบ้าน การเลี้ยงดูบุตร และการดูแลบุพการี เพื่อให้ได้ใช้เวลาในการพัฒนาศักยภาพตนเองให้สูงขึ้น เพื่อให้มีความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เน้นการพัฒนาและใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมได้
(2) 
กลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว จำนวน 1,061,182 คน** เป็นกลุ่มที่ต้องรับภาระการเป็นหัวหน้าครอบครัวเลี้ยงดูบุตรที่ยังเล็กทำให้ไม่สามารถทำงานในระบบได้อย่างเต็มศักยภาพ ขาดความก้าวหน้าต้องทำงานเหมาช่วงหรือเป็นแรงงานนอกระบบที่ขาดหลักประกันทางสังคม จึงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเพื่อให้สามารถทำงานและพึ่งพาตนเองได้
(3) 
กลุ่มผู้หญิงสูงอายุที่ต้องเป็นผู้เลี้ยงดูเด็ก จำนวน 379,347 คน *** เป็นกลุ่มที่ต้องเป็นผู้ดูแลเด็กให้กับพ่อแม่ที่อพยพไปทำงานในเขตเมือง ซึ่งบางคนยังต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพอยู่ เกิดผลในทางลบทั้งกับตัวผู้หญิงสูงอายุและเด็กในเรื่องสุขภาพและพัฒนาการของเด็ก

 

ที่มา สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 มกราคม 2565

 

 

 


ขรก.เฮ! ครม.ไฟเขียวลาคลอดเต็มพิกัด 188 วัน ขรก.ชายลาเลี้ยงลูก 15 วันสอดคล้องอนามัยโลกขรก.เฮ!ครม.ไฟเขียวลาคลอดเต็มพิกัด188วันขรก.ชายลาเลี้ยงลูก15วันสอดคล้องอนามัยโลก

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

Advertisement


:: เรื่องปักหมุด ::

ด่วน! สพฐ.ประกาศสอบบรรจุ ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปี พ.ศ. 2567 รอบทั่วไป

ด่วน! สพฐ.ประกาศสอบบรรจุ ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปี พ.ศ. 2567 รอบทั่วไป

เปิดอ่าน 3,945 ☕ 18 เม.ย. 2567

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
ก.ค.ศ. อนุมัติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีและเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ จำนวน 19 ราย เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567
ก.ค.ศ. อนุมัติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีและเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ จำนวน 19 ราย เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567
เปิดอ่าน 1,627 ☕ 26 เม.ย. 2567

รายละเอียดการสอบแข่งขันฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ. 2567
รายละเอียดการสอบแข่งขันฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ. 2567
เปิดอ่าน 487 ☕ 26 เม.ย. 2567

สพฐ.แจ้งการสอบแข่งขันฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ. 2567 สมัครสอบทางออนไลน์เพียงรูปแบบเดียว
สพฐ.แจ้งการสอบแข่งขันฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ. 2567 สมัครสอบทางออนไลน์เพียงรูปแบบเดียว
เปิดอ่าน 1,227 ☕ 25 เม.ย. 2567

ประกาศผลการพิจารณาคัดเลือกโครงงานคุณธรรมเฉลิมพระเกียรติ "เยาวชนไทย ทำดี ถวายในหลวง" ปีที่ 18 ปีการศึกษา 2566 (ระดับประเทศ)
ประกาศผลการพิจารณาคัดเลือกโครงงานคุณธรรมเฉลิมพระเกียรติ "เยาวชนไทย ทำดี ถวายในหลวง" ปีที่ 18 ปีการศึกษา 2566 (ระดับประเทศ)
เปิดอ่าน 623 ☕ 25 เม.ย. 2567

การปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการจัดประชุมราชการ
การปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม การจัดงาน และการจัดประชุมราชการ
เปิดอ่าน 954 ☕ 25 เม.ย. 2567

แนวทางการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ ประเภทเงินเพื่อประโยชน์การศึกษา โครงการ "สุขาดี มีความสุข"
แนวทางการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ ประเภทเงินเพื่อประโยชน์การศึกษา โครงการ "สุขาดี มีความสุข"
เปิดอ่าน 1,031 ☕ 25 เม.ย. 2567

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

สุดประทับใจ! ครูสาวแบกนร.หญิงป่วยหนัก เดินลงจากดอยไปส่งรพ.
สุดประทับใจ! ครูสาวแบกนร.หญิงป่วยหนัก เดินลงจากดอยไปส่งรพ.
เปิดอ่าน 18,474 ครั้ง

การประเมินจากภายนอกสถานศึกษาจำเป็นหรือไม่?
การประเมินจากภายนอกสถานศึกษาจำเป็นหรือไม่?
เปิดอ่าน 5,912 ครั้ง

มาฝึกออกเสียง 40 ประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐานกันเถอะ
มาฝึกออกเสียง 40 ประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐานกันเถอะ
เปิดอ่าน 36,023 ครั้ง

เคล็ดลับการดูแลเท้า
เคล็ดลับการดูแลเท้า
เปิดอ่าน 9,588 ครั้ง

เคล็ดลับขายของออนไลน์อย่างไรไม่ขาดทุน
เคล็ดลับขายของออนไลน์อย่างไรไม่ขาดทุน
เปิดอ่าน 9,424 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ