ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าเยาวชนที่มีโอกาสทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทยตลอดหลายปีผ่านมา โดยเฉพาะกับเรื่องวิชาการในระดับนานาชาติ ส่วนหนึ่งล้วนผ่านโครงการแข่งขัน "เศรษฐศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ"
โครงการแข่งขัน "เศรษฐศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ" ดำเนินการมาแล้วทั้งหมด 7 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 8 โดยมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิร่มฉัตร, กระทรวงศึกษาธิการ, สมาคมประกันชีวิตไทย, มูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จัดโครงการแข่งขัน "เศรษฐศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ" ครั้งที่ 8 ประจำปีการศึกษา 2559 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษา ที่สนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์ การเงินส่วนบุคคล และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้มีเวทีในการพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเอง
ทั้งนั้นเพื่อชิงทุนการศึกษา และทุนศึกษาดูงานต่างประเทศรวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท
เบื้องต้น "พระพรหมมังคลาจารย์" หรือ "เจ้าคุณธงชัย (ธงชัย ธมมธโช)" ประธานมูลนิธิร่มฉัตร และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารได้เล่าถึงความสำคัญของโครงการแข่งขัน "เศรษฐศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ" ให้ฟังว่า ความสำคัญของการเรียนการศึกษาของชาติถือว่ามีความสำคัญทุกวิชา แต่เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่รวมสาระทุกสาระ ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ภาษาไทย หรือแม้กระทั่งประวัติศาสตร์ศิลปกรรม ก็ต้องมารวม ๆ กันอยู่ในวิชาเศรษฐศาสตร์
"เพราะวิชาเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาสำคัญของเวทีโลก ฉะนั้น นักเรียน นักศึกษาถ้าจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ดีต้องมีความรู้ครบองค์ประกอบของการเรียนการศึกษาของชาติไทย ดังนั้น การจัดการแข่งขันเศรษฐศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะกระตุ้นให้การเรียนการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการในระดับขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษาประสบความสำเร็จ เพราะว่าวิชานี้เป็นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯให้การอุปถัมภ์ สนับสนุน"
"เนื่องจากมีความสำคัญบนเวทีโลก เยาวชนไทยจึงต้องมีความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ มูลนิธิร่มฉัตรจึงเข้ามาร่วมมือให้ความรู้แก่เยาวชนไทยในการเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน และอุดมศึกษาเพื่อให้เด็ก ๆ เหล่านั้นมีความรู้ความเข้าใจเศรษฐศาสตร์ และเศรษฐกิจของเวทีโลก ฉะนั้น ต้องถือว่าตลาดหลักทรัพย์ฯมองเห็น และเล็งเห็นว่าเยาวชนไทยเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในด้านเศรษฐกิจในเวทีโลก ทั้งยังทำให้ประเทศไทยพัฒนาก้าวหน้าในอนาคต"
นอกจากนั้น "พระพรหมมังคลาจารย์" ยังอธิบายถึงสิ่งที่ทำผ่านมาของมูลนิธิร่มฉัตร นอกจากเรื่องการเรียนการศึกษาที่มอบให้กับกระทรวงศึกษาธิการทั้งหมด 14 วิชา ตลอดช่วง 18 ปีผ่านมา เช่น คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ฟิสิกส์, เคมี, ชีวะ, ภาษาไทย, ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน, ภาษาญี่ปุ่น, เศรษฐศาสตร์, ศิลปกรรม, จิตรกรรม และประติมากรรม อาตมายังทำเรื่องการเตรียมความพร้อมสู่อาเซียนด้วย
"เหตุผลเพราะมูลนิธิร่มฉัตรสนใจเรื่องการศึกษา เนื่องจากเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้วเด็กไทยเราแพ้คณิตศาสตร์ประเทศเวียดนาม ทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งเลิกจากสงครามไม่นาน แต่ผู้นำประเทศกลับให้ความสำคัญต่อเรื่องการศึกษาเป็นสิ่งแรก หลังจากนั้นเขาก็พัฒนาการศึกษาเรื่อยมาจนสามารถชนะเด็กไทยได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่อาตมาตกใจ และเป็นสิ่งที่มูลนิธิร่มฉัตรตระหนักกับการศึกษาของชาติไทย จึงคิดว่าทำอย่างไรถึงจะช่วยประเทศชาติได้ ตอนนั้นคิดช่วยคณิตศาสตร์เป็นวิชาแรกก่อน จากนั้นจึงมาช่วยวิทยาศาสตร์ และอื่น ๆ ตามมา"
"จนสามารถค้นพบเด็กเก่งที่สุด ซึ่งอาตมาก็นำเด็กเหล่านี้ส่งมอบให้กระทรวงศึกษาธิการเพื่อส่งไปสอบแข่งขันในเวทีโลก จนได้รับรางวัลกลับมามากมาย ตรงนี้อาจกล่าวได้ว่าเด็กที่ได้รับรางวัลต่าง ๆ นั้น ล้วนผ่านกระบวนการของเศรษฐศาสตร์เพชรยอดมงกุฎทั้งสิ้น"
ถึงตรงนี้ "พระพรหมมังคลาจารย์" จึงวิเคราะห์ถึงการปฏิรูปการศึกษาของไทยตลอดช่วงหลาย 10 ปีผ่านมาค่อนข้างล้มเหลว โดยบอกว่าวันนี้อาตมามองเรื่องการยุบ 5 แท่งที่ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานปลัด ศธ. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จนเหลือเพียง 1 แท่ง ก็ไม่มีทางทำให้การศึกษาของชาติประสบความสำเร็จ
"เมื่อ 20 ปีที่แล้วเรามีมติว่าแท่งเดียวไม่พอสำหรับการให้การศึกษาของชาติ กระทรวงศึกษาฯจึงมีนโยบาย 5 แท่ง บัดนี้ 20 ปีครบ และรู้ว่าการมี 5 แท่งก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงกลับไปเหลือแท่งเดียว ก็แสดงว่า 20 ปีผ่านมาการศึกษาของบ้านเราล้มเหลว ทีนี้ก่อนจะมี 5 แท่งลองมองถอยหลังไปสิว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้วการศึกษาของเราล้มเหลวใช่ไหม ถึงคิดมี 5 แท่งขึ้นมา แสดงว่าผ่านมาตั้งแต่ 20 ปีแรก จน 20 ปีผ่านมา ซึ่งถึงตอนนี้ 40 ปีแล้ว การศึกษาของบ้านเราพัฒนาไปไม่ถึงไหนเลย"
"กอปรกับอาตมาได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งพูดว่าผู้บริหารการศึกษาของประเทศไทยเราคือเสือร้าย อาตมาฟังแล้วก็อึ้งไปเหมือนกัน เก็บมาคิดวิเคราะห์จริงหรือไม่ที่ว่าผู้บริหารการศึกษาของประเทศเราคือเสือร้าย ก็มานั่งนึก 40 ปีผ่านมาถึงวันนี้งบประมาณกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้น้อยไปกว่ากระทรวงอื่นเลย แต่ทำไมการศึกษาของบ้านเราจึงมีปัญหา หรือปัญหาน่าจะมาจากผู้บริหารการศึกษาที่เป็นเสือร้ายจริง ๆ"
"อาตมาจึงคิดว่าวันนี้ถ้าจะแก้ไขเรื่องการศึกษาของชาติไทยให้ดีขึ้นได้ คงไม่ได้อยู่ที่ 1 แท่ง หรือ 5 แท่ง หรืออยู่ที่กระบวนการพัฒนา แต่ควรจะต้องไปเอาหน้ากากเสือ หรือวิญญาณเสือร้ายออกจากเสมาธรรมจักรเสียก่อน เพราะสัญลักษณ์ของกระทรวงศึกษาธิการคือเสมาธรรมจักร ความหมายคือกงล้อแห่งธรรม ที่โดนวิญญาณเสือร้ายสิงสถิต ดังนั้น ถ้าจะให้การศึกษาของชาติไทยดีขึ้น ต้องช่วยกันรณรงค์เอาวิญญาณเสือร้ายออกจากเสมาธรรมจักร"
พร้อมกันนั้น "พระพรหมมังคลาจารย์" ก็อธิบายเพิ่มเติมให้ฟังว่า ถ้าเราเอาวิญญาณเสือร้ายออกจากเสมาธรรมจักรได้ เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องมีใครมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ หรือจะมี 5 แท่ง หรือ 1 แท่ง เพราะเสมาธรรมจักรมีพระวินัย 84,000 พระธรรมขันธ์คุ้มครอง แต่ยังถูกวิญญาณเสือร้ายสิงสถิต แล้วจะเหลืออะไรล่ะ
"เพราะเสือเห็นทุกอย่างเป็นสเต๊ก อีกอย่างขึ้นชื่อว่าเป็นเสือก็จะไม่มีคำว่ากตัญญู หรือรู้คุณค่าของความดี เพราะฉะนั้น เราต้องไม่ให้เสือร้ายมาประทับทรงในเสมาธรรมจักร ต้องเอาวิญญาณเสือร้ายออกจากผู้บริหารการศึกษา อย่ามองเด็กเป็นสเต๊ก อย่ามองครูเป็นสเต๊ก ดังนั้น เมื่อทุกคนช่วยกันเอาวิญญาณเสือร้ายออกจากเสมาธรรมจักร คุณธรรมจะเกิดขึ้น จะทำให้การศึกษาของชาติดีขึ้นเอง วิญญาณครูที่ดีจะกลับมา วิญญาณผู้บริหารที่ดีก็จะกลับมาเอง ไม่ต้องไปปรับปรุงหลักสูตรอะไรหรอก ขอให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของชาติ ช่วยกันตระหนักถึงความหมายของเสมาธรรมจักร ซึ่งเป็นโลโก้ของกระทรวงศึกษาธิการ วิญญาณเสือร้ายก็จะออกเอง"
"ซึ่งเหมือนอย่างที่อาตมาพยายามสนับสนุนการศึกษาของเยาวชนผ่านโครงการแข่งขันเพชรยอดมงกุฎขณะนี้"
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันที่ 16 พฤษภาคม 2559