29 กุมภาพันธ์ 2559 พลันที่รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่และภาพรวมปี 2558 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ฯ ถูกเผยแพร่ออกมา ผู้เขียนได้มีโอกาสศึกษาสไลด์ประกอบการรายงาน ก็ให้สะดุดกับข้อมูลเกี่ยวกับสัมฤทธิผลทางการศึกษาที่ดูเหมือนยิ่งระดับการศึกษาสูงขึ้น ความสามารถทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของเยาวชนของชาติดูจะแย่ลง แม้ดูเหมือนในระดับการศึกษาเดียวกันเมื่อเวลาผ่านไปค่าเฉลี่ยของผลการสอบดูเหมือนจะทรงๆ ค่อนไปทางขยับตัวสูงขึ้นบ้างเล็กน้อย ต่อเมื่อชำเลืองมองไปที่กราฟแท่งแสดงร้อยละของรายจ่ายการศึกษาภาครัฐต่อ GDP ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าประเทศไทยมีการลงทุนไปกับการศึกษาเป็นสัดส่วนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับ ญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม AEC ถ้าข้อมูลในกราฟซึ่งอ้างมาจาก UNDP ปี ค.ศ.2014 ที่ระบุว่าไทยลงทุนไปกับการศึกษาคิดเป็นสัดส่วน 7.6% ของ GDP แล้วเกิดอะไรขึ้นกับระบบการศึกษาไทย?
เพื่อความมั่นใจในข้อมูล ผู้เขียนตามไปดูผลการจัดอันดับ “World Talent Report 2015” ซึ่งดำเนินการโดย The IMD World Competitiveness Center ของสวิสเซอร์แลนด์ โดยการทำสำรวจขีดความสามารถของประเทศต่างๆ 61 ประเทศ กรณีของ “World Talent Report 2015” จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ 3 ด้าน คือ ปัจจัยด้านการลงทุนและพัฒนา (Investment and Development) ปัจจัยด้านความดึงดูด (Appeal) และปัจจัยด้านความพร้อม (Readiness)
ในส่วนของ “ปัจจัยด้านการลงทุนพัฒนา” IMD สนใจการลงทุนในภาคการศึกษา ทั้งยอดรวมการลงทุน และค่าเฉลี่ยต่อจำนวนนักเรียน สัดส่วนครูต่อจำนวนนักเรียน การฝึกงาน การฝึกอบรมพนักงาน การใช้แรงงานสตรี และโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข “ปัจจัยด้านความดึงดูด” ก็จะสนใจค่าครองชีพ คุณภาพชีวิต แรงจูงใจ อัตราสมองไหล ความสามารถในการดึงดูดให้คนทำงาน การจ่ายค่าตอบแทน ในขณะที่ “ปัจจัยด้านความพร้อม” ก็จะพิจารณาอัตราการเติบโตของแรงงาน แรงงานทักษะ ความสามารถด้านการเงิน ประสบการณ์ทำงานกับต่างประเทศ ความสามารถของผู้บริหารระดับสูง ระบบการศึกษา การศึกษาระดับอุดมศึกษา การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และการจัดการ ภาษา และการประเมินสัมฤทธิผลทางการศึกษา สรุปง่ายๆ ว่าปัจจัยด้านความพร้อมดูเหมือนจะแสดงให้เห็นผลลัพธ์ของการลงทุน และการบริหารจัดการ (อันส่งผลต่อการดึงดูดให้ผู้คนจะทำงานด้วย) ความสนุกและน่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อเราพลิกไปดูผลการสำรวจและจัดอันดับ “Talent” ของประเทศไทยเทียบกับอีก 60 ประเทศ (รวม 61 ประเทศ) ผู้เขียนขอชวนคุณผู้อ่านพุ่งความสนใจไปที่ปัจจัยด้านการลงทุน เทียบกับปัจจัยด้านความพร้อม
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเรามีการลงทุนในภาคการศึกษาสูงเป็นอันดับต้นๆ ของ 61 ประเทศ แต่ทว่าผลลัพธ์ตอนจบกลับพบว่าทักษะฝีมือ การศึกษาระดับอุดมศึกษา ภาษา และการทดสอบสัมฤทธิผลทางการศึกษากลับตกไปอยู่อันดับท้ายๆ ของประเทศทั้งหมด (อันดับเกิน 45 แทบจะทุกรายการ)
เกิดอะไรขึ้นกับการพัฒนาบุคคลากรของประเทศไทย?
ผู้เขียนสอนหนังสืออยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ช่วงปลายปี พ.ศ.2537 เมื่อครั้งสำเร็จการศึกษาแค่ระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ และผ่านเข้าสู่กระบวนการพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยด้วยการรับทุน ทั้งการทำวิทยานิพนธ์ร่วมกับนักวิจัยชื่อดังในต่างประเทศ ตลอดจนการศึกษาต่อระดับปริญญาเอก อาจกล่าวได้ว่าได้เคยผ่านการเป็นอาจารย์รุ่นเยาว์ความรู้ระดับปริญญาตรี-โท ในช่วง 8 ปีแรกของการทำงาน ยอมรับว่าก็สามารถสอนหนังสือให้กับลูกศิษย์ด้วยระดับความรู้และประสบการณ์เท่าที่เคยมี และอาจพูดว่าตัวเองเริ่มเข้าสู่การเป็นครูบาอาจารย์เต็มตัวหลังปี พ.ศ.2547 เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาเอกและมีประสบการณ์ทำงานวิจัยร่วมกับหน่วยงานต่างๆ มากขึ้น โดยประสบการณ์ส่วนตัวหากว่ากันโดยปัจเจกบุคคล ผู้เขียนพบว่านักเรียนนักวิชาการของไทยหลายต่อหลายคนที่ไปศึกษาต่อในต่างประเทศไม่ได้มีทักษะฝีมือด้อยไปกว่าชาวต่างชาติเลย บ่อยครั้งมีทักษะฝีมือที่เหนือกว่าด้วยซ้ำ จากข้อมูลทั้งของสภาพัฒน์ฯ และ IMD ดูเหมือนประเทศไทยอาจจะไม่ได้มีปัญหากับการจัดการศึกษาขั้นมูลฐานนัก แต่อาจจะเริ่มโซซัดโซเซในระดับมัธยมปลาย อาชีวศึกษา และล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในระดับอุดมศึกษา
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับการศึกษาในประเทศไทย?
เราไม่ได้ไม่ลงทุนกับการศึกษา เราไม่ได้ไม่ใส่ใจกับการศึกษา (เผลอๆ ใส่ใจมากเกินไปจนถึงกับต้องมากรอกสารพัดเอกสารเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อนๆ อาจารย์ด้วยกันคงคุ้นเคยและมีความสุขกับการกรอกเอกสาร “มคอ” ที่ใครๆ แซวว่า “ไม่มีใครอ่าน” กันอย่างดี)
อยากฝากผู้อ่านช่วยกันคิด แล้วเราจะกลับมาคุยกันต่อในตอนต่อไปครับ
ผู้เขียน ผศ.ดร.ประมวล สุธีจารุวัฒน ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 3 มีนาคม 2559