นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนางบุญรื่น ศรีธเรศ และนายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔
►ศธ.เป็นกระทรวงใหญ่ ที่เป็นความคาดหวังของประชาชน
รมว.ศธ.กล่าวภายหลังรับมอบดอกไม้แสดงความยินดีจากผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการว่า ศธ.เป็นกระทรวงที่ใหญ่มาก ถือเป็นกระทรวงที่เป็นความคาดหวังของประชาชนที่จะต้องพัฒนาสิ่งที่เป็นศักยภาพของประเทศสู่ประชาชนให้มีความแข็งแรง มีงานทำ มีขีดความสามารถที่จะเปิดประเทศไทยเพื่อเชื่อมต่อระบบเศรษฐกิจของโลก ที่ผ่านมามีผู้บริหารมาจากหลายพรรคการเมืองซึ่งต่างช่วงชิงหาเสียง ต่างทำผลงานของตนเอง จนทำให้การบริหารองค์กรขนาดใหญ่อาจไม่มีประสิทธิภาพ แต่วันนี้โชคดีที่ได้รับความไว้วางใจจากนายกรัฐมนตรี และ รมช.ศธ.ให้เข้ามาบูรณาการการทำงานใน ศธ.อย่างเป็นระบบ และก่อนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการได้มีการประชุมผู้บริหาร ศธ.ไปแล้ว ๒ ครั้งถึงรูปแบบการทำงาน เพื่อจะได้ข้อยุติที่ชัดเจน รวมทั้งให้เส้นแบ่งระหว่างองค์กรหลักเบาบางมากที่สุด พร้อมทั้งให้มีการแลกเปลี่ยนศักยภาพซึ่งกันและกันมากขึ้นด้วย
►เน้นการทำงานแบบบูรณาการ มองพื้นที่ มองตัวเอง ภายใต้ทรัพยากรที่มี
ส่วนในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งมีศักยภาพต่างๆ สูงมาก แต่ด้วยการบริหารงานเป็นส่วน จึงไม่เกิดการเชื่อมโยง ทั้งที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีบุคลากรที่มีศักยภาพจำนวนมาก มีผู้คนที่ไปพึ่งพิงบุคลากรในมหาวิทยาลัยจำนวนมาก ทั้งด้านงานวิจัย หรือจ้างไปทำงาน ดังนั้นจึงถึงเวลาที่จะต้องขยับขับเคลื่อนการทำงานเชิง Area Based คือ ทุกองค์กรหลักต้องมองพื้นที่ มองตัวเราเป็นหลักก่อนไปแข่งขันกับโลก ว่าเรามีทรัพยากรอะไร จึงต้องการให้มหาวิทยาลัย การอาชีวศึกษา กศน. วิทยาลัยชุมชน และองค์กรหลักทางการศึกษา ได้มองแผนพัฒนาจังหวัดแต่ละจังหวัด ตามทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ศิลปวัฒนธรรมประเพณี และทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละพื้นที่ เพื่อนำไปแข่งขันกับโลกได้ โดยจะนำองค์ความรู้ทุกสาขาทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพในพื้นที่ โดยเชื่อมต่อการศึกษาตั้งแต่อุดมศึกษาลงไปในระดับมัธยมศึกษา ประถมศึกษา และเด็กเล็ก นอกจากนี้ช่วงที่ผ่านมาตนได้มีส่วนดูแลงบประมาณด้านการวิจัย จึงได้พยายามผลักดันการวิจัยต่างๆ ออกมา ซึ่งทราบดีว่าหากผลลัพธ์ทางด้านงานวิจัยไม่ออก มหาวิทยาลัยนั้นอาจจะไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในส่วนนั้นต่อไปด้วย
►เปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียน ต้องไม่พัฒนาแบบแยกส่วน
ในปี ๒๕๕๘ เราจะต้องเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียน วันนั้นผืนแผ่นดินไทยจำเป็นจะต้องเปิดเสรีทางการค้า FTA ด้วย หากเรายังพัฒนาแบบแยกส่วน เราจะเสียเปรียบ เพราะไม่รู้จริง ไม่มีข้อมูลจริง ทั้งที่หลายกระทรวงควรมีงบประมาณเชิงรุกในด้านนี้ แต่กลับมีงบประมาณด้านต่างประเทศน้อยมาก และที่ผ่านมาไปเน้นเรื่องความสัมพันธ์ต่างประเทศมากกว่า ดังนั้นบุคคลที่มีศักยภาพซึ่งอยู่ใน ศธ.จึงต้องมองให้เป็นเกี่ยวกับการแปรรูปสินค้า การผลิตสินค้าที่มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาด มีระบบลอจิสติกส์ที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศอย่างมีคุณภาพ
►เน้นสร้างระเบียบวินัยที่ดีให้เด็ก โดยเน้นเรียนสายอาชีพตามความต้องการ
รมว.ศธ.กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ว่า ครูต้องมองการสอนเด็กให้มีจิตสำนึก มีวินัยในตนเอง เช่นคนญี่ปุ่นมีความรับผิดชอบดีมาก มีความเป็นระเบียบ ตัวอย่างช่วงเวลาเกิดภัยสึนามีที่ผ่านมาไม่มีความโกลาหลเกิดขึ้น จึงถือเป็นประเทศที่มีความแข็งแรงสูงมาก สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ของ ศธ.ที่จะต้องดูแลรับผิดชอบ โดยตนจะดูแลการบริหารแบบองค์รวม ส่วนในระดับองค์กรหลักจะต้องบริหารแบบบูรณาการ เร่งสร้างองค์ความรู้สู่ระดับมัธยมศึกษา เพราะไม่ต้องการให้เด็กเรียนจบ ๑๒ ปีเพื่อมุ่งไปสอบเอ็นทรานซ์ แต่เด็กควรจะได้เรียนในอาชีพที่ต้องการ ไม่ใช่เรียนทุกเรื่อง ซึ่งต่อจากนี้ไปคงต้องคุยกันเยอะมากในประเด็นนี้ ดังนั้นหากเราบริหารแบบบูรณาการได้ คนของเราจะมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น พูดภาษาอังกฤษได้ และเข้าไปแข่งขันใน ๕ ภูมิภาคหลักของโลก คือ อเมริกา แอฟริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
►จัดทำงบประมาณที่เน้นโครงการใหม่ให้สัมพันธ์กันทุกองค์กรหลัก
รัฐบาลได้เร่งให้ทุกกระทรวงจัดทำระบบงบประมาณปี ๒๕๕๕ ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว จึงต้องการให้ทุกองค์กรหลักพิจารณาจัดส่งรายละเอียดคำของบประมาณไม่เกินสิ้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔ โดยการเสนอของบประมาณไม่ต้องการให้เสนอโครงการเดิมๆ เข้ามา แต่ให้มองวิสัยทัศน์ข้างหน้าว่าโครงการต่างๆ สัมพันธ์กันอย่างไร องค์กรหลักมองทิศทาง เป้าหมายสัมพันธ์กันอย่างไร มองการวัดประเมินผลไปที่การมีงานทำ ถ้าสถาบันการศึกษาใดทำได้ จะได้รับการส่งเสริม แต่หากสถาบันการศึกษาผลิตเด็กออกมาตามเป้าหมายดังกล่าวไม่ได้ ก็อาจจะถูกตัดงบประมาณออกไป
►เน้นการทำงานเป็นทีม พร้อมเปิดห้องทำงานรัฐมนตรีตลอดเวลา
ที่ผ่านมาประเทศไทยมีลักษณะความสามารถส่วนตัวสูงมาก แต่ยังขาดการทำงานเป็นทีม จึงขอให้ท่านร่วมกันทำงานเป็นทีม ถึงเวลามาระดมสมองกัน และในการทำงานของตนนั้น จะเปิดห้องทำงานตลอดเวลา สามารถเข้ามาหารือ หรือโทรศัพท์หารือได้ตลอด ไม่อยากให้ถือขอบเขตว่าเป็นรัฐมนตรี แต่อยากให้ดูเหมือนเป็นเพื่อนร่วมงาน และไม่อยากจะดูการเมืองเดิมๆ ว่าท่านอยู่พรรคไหน และจะไม่ฟังว่าท่านเคยเป็นคนของใคร แต่จะใช้ผลงานของท่านประเมินการทำงานต่อไป
►เป็นห่วงหนี้สาธารณะของไทย, ฝาก ศธ.ลุกขึ้นต่อสู้ให้ประเทศรอดจากวิกฤต
วันนี้ไทยเป็นหนี้สาธารณะมากถึง ๔.๒ ล้านล้านบาท ตนเป็นกรรมาธิการงบประมาณมาโดยตลอด จึงเห็นตัวเลขปีที่ผ่านมาเราใช้หนี้ ๑.๘ แสนล้านบาท เป็นเงินต้นเพียง ๑ หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือคือ ๑.๗ แสนล้านบาทเป็นดอกเบี้ย และเมื่อถึงเวลาครบกำหนดเราต้องใช้หนี้มหาศาลนั้น ซึ่งหากใช้หนี้เงินต้นได้ปีละ ๑ หมื่นล้านบาท คงต้องใช้เวลานานถึง ๔๐๐ ปีหนี้จึงจะหมด ซึ่งเป็นหลายช่วงชีวิตของคน และปีที่ผ่านมาไทยกู้อีกถึง ๘ แสนล้านบาท จึงต้องกู้ไปโปะตลอด แม้ตัวเลข GDP จะโต แต่เป็นตัวเลขต่างชาติที่เติบโตขึ้น ส่วนในประเทศผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อย มีรายได้น้อย ขาดทุน เหนื่อย ซึ่งรัฐบาลมองเห็นและกำลังดึงกลุ่มรากหญ้า เอาข้างล่างขึ้นมา เราจึงต้องสร้างความเข้มแข็งในชนบทให้มากขึ้น สิ่งสุดท้ายคือ ศธ.ต้องผนึกกำลังลุกขึ้นต่อสู้ เพื่อเอาประเทศรอดจากวิกฤตนี้ให้ได้ ซึ่งประเด็นนี้เป็นสิ่งสำคัญในการจัดทำนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลด้วย
►พร้อมเปิดใจรับฟังความคิดเห็นจากทุกคน
รมว.ศธ.กล่าวด้วยว่า ในการทำงาน ต้องการให้นำกลไกทางกฎหมาย และนิติบัญญัติมาช่วยการทำงานของท่าน โดยจะแก้ไขกฎหมายต่างๆ เพื่อให้การทำงานราบรื่นและสอดคล้องกับการบริหารจัดการองค์กรหลัก รวมทั้งจะดูแลการจัดสรรงบประมาณการบูรณาการทำงาน ทั้งยังยืนยันว่าจะทำงานด้วยความเที่ยงธรรม เพราะตั้งใจมานานแล้วที่จะทำงานด้านการศึกษาอย่างเต็มความสามารถ และพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นจากทุกท่านด้วยการเปิดใจ พร้อมจะจับมือท่านอย่างฉันท์มิตร อะไรที่มีในใจให้ลืมไป และเริ่มต้นทำงานด้วยกัน จึงหวังว่าจะได้รับความกรุณาจากท่านในการทำงาน ช่วยกันขับเคลื่อนประเทศให้เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน และบ้านเรา.
ที่มา ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ
http://www.moe.go.th/websm/2011/aug/210.html