อุทยานการเรียนรู้ร่วมกับหอภาพยนตร์แห่งชาตินำ“ภาพยนตร์เก่าทะลุยุค สนุกล้ำสมัย” มาจัดฉายต้อนรับช่วงปิดเทอมกับ “เก๋า เก๋า” ที่กำกับโดย วิทยา ทองอยู่ยง (หนึ่งในผู้กำกับแฟนฉัน) นำแสดงโดย
อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต (โจอี้ บอย), ปิยะ ศาสตรวาหา
(โป้ โยคี เพลย์บอย), ธนากร ชินกูล (ดีเจโบว์ 94 EFM), จักรพงศ์ สิริริน (สอง พาราด็อกซ์), ยุทธนา ธุวะประดิษฐ์, คะนึงนิจ จักรสมิทธานนท์ และ โฟกัส จีระกุล
วิทยากรที่มาร่วมพูดคุยก่อนหนังจะฉายวันนี้ คือคุณวิทยา ทองอยู่ยงหรือคุณบอลผู้กำกับหนังเรื่องนี้ที่ให้เกียรติมาเอง “งานก่อนหน้านี้ของผมคือเรื่องแฟนฉัน กำกับกับเพื่อน 6 คน หลายๆ คนที่เห็นผลงานที่ผ่านมาอาจคิดว่าผมชอบเล่าเรื่องเก่าๆ ซึ่งจริงๆ มันเป็นเพียงสองเรื่องแรกที่ผมทำเท่านั้น เรื่องต่อไปก็จะกลายเป็นยุคกลางๆ โดยส่วนตัวแล้วผมนั้นชอบฟังเพลง อย่างเพลงเก่าๆ ที่คุณพ่อมักเปิดให้ฟัง เลยจะนำจุดนี้มาสร้างเป็นหนัง อย่างเรื่องแฟนฉันก็เป็นเพลงของวงชาตรี ส่วนเรื่องนี้ (เก๋า เก๋า) ก็เป็นวง
ดิอิมพอสสิเบิล”
คุณวิทยา ทองอยู่ยง
พี่โต้ง หรือคุณมานัสศักดิ์ ดอกไม้ เจ้าหน้าที่จากหอภาพยนตร์แห่งชาติถามถึงสไตล์ของหนังเรื่องนี้ว่าเหมาะแก่ช่วงวัยไหน “เรื่องแฟนฉันเป็นเรื่องที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย แต่เก๋า เก๋าจะออกแนวการ์ตูนหน่อยๆ เพราะมีการย้อนยุค เด็กๆ เลยชอบ ผมเลยพอเดาได้ว่าวันนี้เด็กๆ น่าจะเข้ามาชมเยอะหน่อย ตัวผมเองนั้นชอบดูหนังร่วมกับคนดู ยิ่งดูหนังของตัวเองยิ่งชอบเข้าไปใหญ่” คุณวิทยาตอบ
“คนดูหลายๆ ท่านอาจจะไม่คุ้นกับนักร้องในยุคสมัยนี้ แต่พอให้กลับไปนุ่งกางเกงขาบานตามยุคสมัยนั้น ผมว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจ และได้ดูว่าในยุคสมัยนั้นกว่าคนดังจะประสบความสำเร็จมันเป็นยังไง ต้องผ่านความยากลำบากขนาดไหน ผมว่านี่แหละคือความเก๋า” คุณวิทยาเสริม
เมื่อความเก๋า กลายเป็นความเก่า
พ.ศ. 2512 กรุงเทพฯ ในยุคที่หนุ่มสาววัยทีนเมามายกับแสงไฟดิสโก้ยามค่ำคืน การปรากฏตัวของ Possible วงสตริงคอมโบผู้ประกาศตัวเป็นคณะปฏิวัติแห่งเสียงเพลงได้พลิกโฉมหน้าวงการดนตรีไทยไปชนิดที่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้ จุดขายของ Possible อยู่ที่ฝีไม้ลายมือในการแปลงเพลงระดับเทพ ต่อให้เพลงฝรั่งที่เจ๋งแค่ไหน พวกเขาก็สามารถนำมาบิดเป็นเนื้อไทยได้แจ๋วโดนใจแฟนเพลง เล่นคอนเสิร์ตที่ไหน แฟนๆ ก็ตามไปกรี๊ดสนั่นทุกที่
แล้ววันหนึ่ง สาวกวง Possible ก็ได้กรี๊ดสลบจริงๆ เมื่อเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นในคอนเสิร์ตเปิดโรงหนังพระโขนง ซีเนม่า เรื่องราวเริ่มต้นที่เจ้าไมค์สีชมพูหวานจ๋อยที่ Possible ได้รับเป็นของขวัญจากแฟนเพลง พร้อมสโลแกนข้างกล่อง “Hit Tester แน่ใจนะว่าฮิตจริง ทุกสิ่งพิสูจน์ได้ที่นี่” เกิดแผลงฤทธิ์ขึ้นจนส่งพวกเขาวาร์ปข้ามเวลามาปี 2549 !!! ย้ำ 2549 พ.ศ. ที่วัยโจ๋อินกับพี่ตูน ขาเดฟ, คลั่งฮิปฮอพ บุดดาเบลส, กรี๊ด พี่เบิร์ด ธงไชยวิลเลจ
พ.ศ. ที่ดนตรีสตริงคอมโบกลายเป็นไดโนเสาร์ Possible ต้องรีบหาทางกลับอดีตด่วนจี๋และทางเดียวที่จะทำให้พวกเขากลับไปได้ก็คือ ต้องระดมแฟนเพลงมารวมตัวกันแล้วเล่นดนตรีเพื่อจุดพลังให้ไมค์กลับมาทำงานอีกครั้ง แต่ในเมื่อปัจจุบันเทคนิคการแปลงเพลงอันเอกอุกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ ซ้ำร้าย Possible ยังถูกตราหน้าว่าเป็น The Impossible เวอร์ชั่นแผ่นผีเข้าไปอีก แล้วจะให้ Possible เปิดคอนเสิร์ต ?
เรื่องราวการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้ได้กลับไปยังช่วงเวลาที่ตนจากมา ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ว่าตนเองเป็นศิลปินเพื่ออะไร เมื่อทิฐิที่เคยมีแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจ เหล่า Possible จึงได้กลับสู่ยุคของตนเองอีกครั้ง
ทันที่ที่หนังจบลงเสียงพูดคุยได้กลับมาอีกครั้งผู้ชมต่างวิพากษ์วิจารณ์ฉากต่างๆ และความน่ารักของตัวละครกันอย่างสนุกสนานโดยมีคุณวิทยาและคุณมานัสศักดิ์ร่วมด้วย
เมื่อถามถึงแรงบันดาลใจในการสร้างหนังแนวนี้ขึ้นมา คุณวิทยาตอบว่า “ที่สร้างหนังเรื่องนี้ ด้วยความรู้สึกผูกพันกับโรงหนังมาตั้งแต่เด็กๆ จึงอยากดึงความเก่าของโรงหนังบวกกับความเก๋าของวงดนตรีที่สัมผัสได้ว่า ไม่ว่าจะเนิ่นนานแค่ไหน ความเก๋าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนตัวเนื้อหานั้นทางทีมผู้สร้างต้องการสร้างละครเพลงอยู่แล้ว แค่ดึงจุดนี้ขึ้นมาเป็นจุดหลักเท่านั้น” แล้วอะไรคือความเก๋าล่ะ “ผมว่าตรงนี้มันเป็นตำนานนะ คือเมื่อก่อนแฟนเพลงชอบคุณยังไง ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น มันไม่ใช่อะไรประเดี๋ยวประด๋าวแต่เป็นสิ่งที่ถ้าทุกคนพูดถึงเรื่องนี้จะนึกถึงวงๆ นี้ขึ้นมาทันที มันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่ผมคิดว่าผู้ชมทุกคนคงสัมผัสได้” คุณวิทยากล่าวทิ้งท้าย
Katze