การวิจัยสถาบัน
๑. ความสัมพันธ์ระหว่างวิจัยสถาบันกับการประกันคุณภาพการศึกษา
การวิจัยสถาบัน ( Institutional Research Administrative Research Operation Research )
หมายถึง การวิจัยที่มุ่งศึกษาปัญหา ที่เกี่ยวข้องโดยตรง กับแต่ละสถาบัน / หน่วยงาน เพื่อนำข้อสรุปที่ได้ มาใช้ประกอบการวางแผน การกำหนดนโยบาย รวมทั้งการตัดสินใจ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่า เป็นการวิจัยเชิงประเมินและเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารจัดการ
พ.ร.บ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๔๕)
มาตรา ๓๐ สถานศึกษา ต้องพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถทำการวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน (การสอนโดยกระบวนการวิจัย)
หมวด ๖ มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา ประกอบด้วย
๑. การประกันคุณภาพภายใน หมายถึง กระบวนการบริหารสถาบัน (การกำหนดมาตรฐาน การควบคุม และการประเมินภายใน) ซึ่งจะต้องมีการรายงานประจำปี : SSR, SAR เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเผยแพร่ต่อสาธารณชน
๒. การประกันคุณภาพภายนอก โดยองค์การมหาชน คือ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ทำการประเมินภายนอก อย่างน้อย ๑ ครั้ง ในทุก ๕ ปี
จากความหมายของการวิจัยสถาบันและการประกันคุณภาพการศึกษา จะพบว่ามีความสัมพันธ์กันดังนี้
เมื่อมีพรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๔๕) ขึ้นมา สถานศึกษาต้องปฏิบัติตาม คือต้องมีการส่งเสริมให้ผู้สอนทำการวิจัย และต้องทำในเรื่องการประกันคุณภาพ ให้สถานศึกษามีคุณภาพ คุณภาพของสถานศึกษาก็คือ คุณภาพของผู้เรียน คุณภาพของครู คุณภาพของผู้บริหาร การที่จะทำให้สถานศึกษามีคุณภาพ การดำเนินงานต้องมีหลักฐานทางทฤษฎีหรือผลการวิจัยหรือ ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่อ้างอิงได้ และต้องทำให้ได้ตามมาตรฐานที่ สมศ. กำหนดไว้ ซึ่งขั้นตอนก่อนที่จะได้มาตรฐาน ก็จำเป็นต้องมีการวิจัยสถาบัน เพื่อให้ทราบขอบเขต ลักษณะ หรือโครงสร้างของงานในสถานศึกษา หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา เพื่อที่จะมากำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ ทำแผนปฏิบัติการ กระทั่งนำไปกำหนดเป็นกลุยทธ์สถานศึกษา ซึ่ง แนวคิดหรือเป้าหมายหลักของการวิจัยสถาบัน คือ เพื่อให้ผู้บริหารนำข้อสนเทศ/ข้อค้นพบ จากการวิจัยไปใช้ประกอบในการแก้ปัญหา กำหนดนโยบายพัฒนาสถาบัน หรือตัดสินใจในสภาวการณ์ที่จำเป็นเร่งด่วน ก็สามารถใช้การวิจัยสถาบันได้
การวิจัยสถาบันในความหมายเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา หมายถึงการดําเนินงานวิจัยเชิงประเมินเกี่ยวกับองค์กร เพื่อใช้ผลการวิจัยเชิงประเมินนั้น มาประกอบการตัดสินใจในการจัดทํานโยบายและแผนตามพันธกิจขององค์กรนั้นต่อไป รวมทั้งให้การวิจัยสถาบันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารจัดการ
๒. วิธีวิทยาการวิจัยและฐานข้อมูล
คำว่าวิธีวิทยาตรงกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่า methodology ซึ่งมาจากภาษาละตินว่า methodus + logia และมาจากภาษากรีกว่า methodos (meta + hodos =way) +logie (webster’ s Ninth New Collegiate Dictionary, 1991) ตามรากศัพท์วิธีวิทยาหมายถึง วิทยาการหรือการศึกษาที่มีระบบเกี่ยวกับวิธีการ หรือเทคนิคคำว่า “วิธีวิทยาการวิจัย “ จึงมีความหมายครอบคลุมระเบียบวิธีดำเนินการทุกขั้นตอนในการวิจัยได้แก่การกำหนดปัญหาวิจัยการศึกษา และรายงานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยการกำหนดสมมุติฐานวิจัยการกำหนดกลุ่มประชากรและการเลือกกลุ่มตัวอย่าง การสร้างเครื่องมือวิจัยการรวบรวมการนำเสนอ การวิเคราะห์และการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งรวมในวิธีวิทยาทางสถิติ ตลอดจนเทคนิควิธีการ วัดและการประเมินผล
ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในองค์การ หรือในสิ่งแวดล้อมทางกายภาพก่อนหน้าที่จะนำมาจัดเรียบเรียง หรือ จัดกลุ่มให้อยู่ในรูปแบบที่คนทั่วไปจะเข้าใจหรือนำไปใช้ได้ ส่วนฐานข้อมูล หมายถึง แหล่งที่เก็บรวบรวมข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล ระบบฐานข้อมูลจะต้องทำงานผ่าน DBMS ทุกครั้ง หน้าที่ของระบบจัดการฐานข้อมูลที่จะดูแลการใช้งานให้กับผู้ใช้ซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมือนตัวกลางให้ผู้ใช้และฐานข้อมูลติดต่อกันได้ เพื่อจัดการและควบคุมความถูกต้อง ความซ้ำซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ ภายในฐานข้อมูล
ฐานข้อมูล (database) หมายถึง กลุ่มของข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ โดยมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยไม่ได้บังคับว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะต้องเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลเดียวกันหรือแยกเก็บหลาย ๆ แฟ้มข้อมูล นั่นก็คือการเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลนั้นเราอาจจะเก็บทั้งฐานข้อมูล โดยใช้แฟ้มข้อมูลเพียงแฟ้มข้อมูลเดียวกันได้ หรือจะเก็บไว้ในหลาย ๆ แฟ้มข้อมูล ที่สำคัญคือจะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างระเบียนและเรียกใช้ความสัมพันธ์นั้นได้ มีการกำจัดความซ้ำซ้อนของข้อมูลออกและเก็บแฟ้มข้อมูลเหล่านี้ไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อที่จะนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ร่วมกัน ควบคุมดูแลรักษาเมื่อผู้ต้องการใช้งานและผู้มีสิทธิ์จะใช้ข้อมูลนั้นสามารถดึงข้อมูลที่ต้องการออกไปใช้ได้ ข้อมูลบางส่วนอาจใช้ร่วมกับผู้อื่นได้ แต่บางส่วนผู้มีสิทธิ์เท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้ โดยทั่วไปองค์กรต่าง ๆ จะสร้างฐานข้อมูลไว้ เพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ ของตัวองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลในเชิงธุรกิจ เช่น ข้อมูลของลูกค้า ข้อมูลของสินค้า ข้อมูลของลูกจ้าง และการจ้างงาน เป็นต้น ระบบจัดการฐานข้อมูลมีระโยชน์คือ ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล รักษาความถูกต้องของข้อมูล มีความเป็นอิสระของข้อมูล มีความปลอดภัยของข้อมูลสูง และใช้ข้อมูลร่วมกันโดยมีการควบคุมจากศูนย์กลาง
จากความหมายขององค์ประกอบทั้ง ๒ นี้ จะเห็นว่าการวิจัยต่างต่างๆต้องอาศัยข้อมูลจากฐานข้อมูล จึงจะนำมาสู่การวิจัยที่เต็มรูปแบบได้ เพราะการวิจัยต้องมีข้อมูลจากฐานข้อมูลที่ถูกต้อง การผิดพลาดก็จะไม่มีหรือเกิดขึ้นน้อย ผลจากการวิจัยก็มีความถูกต้องแม่นยำ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
๓. เมื่อสถานศึกษามีปัญหาในเรื่องกระบวนการบริหารจัดการ สามารถนำกระบวนการวิจัยมาใช้ในการแก้ปัญหานั้นโดย
เมื่อเราทราบว่ามีปัญหาเรื่องกระบวนการบริหารจัดการเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตามต้องทำการศึกษาปัญหาและต้องดำเนินการการแก้ไขโดยใช้กระบวนการวิจัยสถาบันตามหลักการและขั้นตอนของการวิจัย เช่น ศึกษาสภาพของปัญหานั้นๆเพื่อที่จะนำมาเป็นประเด็นในการวิจัย ศึกษาหลักการวิธีการเกี่ยวกับหลักทฤษฎี หรือแนวคิด หรือผลการวิจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ที่จะนำมาอ้างอิงเป็นวิธีการหรือแนวทาง ในการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนางาน และจัดการดำเนินการต่อไปตามขั้นตอนจนเสร็จสิ้นแล้ว จนกระทั่งได้ผลการวิจัยออกมา ก็นำมาใช้ในการวางแผน หรือกำหนดนโยบายเพิ่มเติม และจัดทำโครงการขึ้น เพื่อการแก้ไขปัญหานั้นๆ รวมถึงการกำหนดแนวทางหรือแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้อีก และยังสามารถนำผลการวิจัยไปพัฒนางานเดิม หรือเพิ่มงานใหม่ได้ และหากพบว่ามีปัญหาใหม่ๆเกิดขึ้นมาอีก และเป็นปัญหาสำคัญก็ดำเนินการวิจัยสถาบันและนำมาใช้แก้ไขปัญหาได้อีก
กระบวนการวิจัยโดยทั่วไป
๑. เลือกหัวข้อปัญหา ในขั้นแรกผู้วิจัยจะต้องตกลงปลงใจให้แน่ชัดเสียก่อนว่าจะวิจัยเรื่องอะไร ซึ่งจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ ด้วยความมั่นใจ และเขียนชื่อเรื่องที่จะวิจัยออกมา
๒. ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะวิจัย หลังจากที่กำหนดเรื่องที่จะวิจัยได้แล้ว จะต้องศึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยโดยศึกษาสาระความรู้ แนวความคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ในตำรา หนังสือ วารสาร รายงานการวิจัยและเอกสารอื่น ๆ สำหรับผลงานที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ทราบว่ามีใครวิจัยในแง่มุมใดไปแล้วบ้าง มีผลการค้นผลอะไร มีวิธีดำเนินการ ใช้เครื่องมือและเทคนิคการวิเคราะห์เช่นไร ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้ในการทำวิจัยได้อย่างเหมาะสมรัดกุม ไม่ซ้ำซ้อนกับคนอื่นที่ทำไปแล้ว และช่วยตั้งสมมุติฐานได้อย่างสมเหตุสมผล
๓. เขียนเค้าโครงการวิจัย ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นภูมิหลังหือที่มาของปัญหา ความมุ่งหมายของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย ตัวแปรต่าง ๆ ที่วิจัย (กรณีที่ศึกษาเกี่ยวกับตัวแปร) คำนิยามศัพท์เฉพาะ สมมุติฐานในการวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง รูปแบบการวิจัย วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล สำหรับส่วนที่กล่าวถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยนี้อาจแยกกล่าวต่างหากหรืออยู่ในส่วนที่เป็นภูมิหลังก็ได้
๔. สร้างเครื่องมือในการรวบข้อมูล ดำเนินการสร้างตามหลักและขั้นตอนของการสร้างเครื่องมือประเภทนั้น ซึ่งโดยทั่วไปจะต้องศึกษาวิธีสร้างเครื่องมือ ลักษณะธรรมชาติ และ โครงสร้างของสิ่งที่จะวัด การเขียนข้อความหรือข้อคำถามต่าง ๆ การให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาแก้ไข การทดลอง และตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ การปรับปรุงเป็นเครื่องมือฉบับจริง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยไม่จำเป็นต้องสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูลเองเสมอไป กรณีที่ทราบว่ามีเครื่องมือที่สร้างขึ้นอย่างเป็นมาตรฐาน เหมาะสมกับการที่จะนำไปใช้ในการเก็บข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้อาจยืมเครื่องมือดังกล่าวมาใช้ได้ ถ้าสงสัยในเรื่องความเชื่อมั่นของเครื่องมือ เนื่องจากสร้างไว้นานแล้วก็อาจนำมาทดลองใช้และวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นของเครื่องมือ เนื่องจากสร้างไว้นานแล้วก็อาจนำมาทดลองใช้และวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพบว่ามีความเชื่อมั่นเข้าเกณฑ์ก็นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูลได้การวิจัยบางเรื่องอาจไม่ใช้เครื่องมือรวบรวมที่เป็นแบบแผนก็จะตัดตอนนี้ออกไปได้
๕. เลือกกลุ่มตัวอย่าง ในกรณีที่ไม่ได้ศึกษาจากประชากร แต่จะศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง ก็ทำการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ตามวิธีที่ได้กำหนดไว้ในขั้นที่ 3 ในการวิจัยบางเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ก็จะตัดขั้นตอนนี้ออก
๖. จัดกระทำข้อมูล โดยอาจนำจัดเข้าตาราง วิเคราะห์ด้วยสถิติ ทดสอบสมมุติฐาน หรือนำมาวิเคราะห์ตามทฤษฎีต่าง ๆ ตามวิธีการของการวิจัยเรื่องนั้น
๗. ตีความผลการวิเคราะห์ จากผลการวิเคราะห์ในขั้นที่ 7 ผู้วิจัยพิจารณาตีความผลการวิเคราะห์
๘. เขียนรายงานการวิจัย และจัดพิมพ์ ขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้ายของการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องเขียนรายงานตามรูปแบบของการเขียนรายงานการวิจัยประเภทนั้น ๆ เพื่อให้คนอื่นได้ศึกษา
๔. หัวข้อในการทำวิจัยสถาบัน
๑. ศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียน
๒. ศึกษาวิเคราะห์พฤติกรรมนักเรียนที่ทำผิดกฎระเบียบวินัยโรงเรียน
๓. ศึกษาประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารสถานศึกษา
๔. ศึกษาการมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมของนักเรียน
๕. ศึกษาความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในแต่ละกลุ่มงาน
๖. ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
๗. ศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
๘. ศึกษารูปแบบการบริหารห้องสมุดที่มีประสิทธิภาพ
๙. ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการสมัครเข้าศึกษาต่อโรงเรียนวัดสังเวช
๑๐. ศึกษาการรับรู้ของบุคลากรต่อการพัฒนาแผนกลยุทธ์ของโรงเรียนวัดสังเวช
๕. เขียนโครงการวิจัยสถาบัน
ชื่อโครงการ ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการสมัครเข้าศึกษาต่อโรงเรียนวัดสังเวช
ความเป็นมาของปัญหา
จากที่มีพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. ๒๔๔๕ มีการกำหนดแบ่งเขตพื้นที่การศึกษา และมีการกำหนดให้นักเรียนมีสิทธิในการสมัครเข้าเรียนในพื้นที่ใกล้บ้านได้ รวมถึงให้สถานศึกษากำหนดสัดส่วนในการับนักเรียนสำหรับการสอบเข้า และการรับนักเรียนนอกพื้นที่เข้าเรียน ของแต่ละโรงเรียนได้ นั้น ส่งผลกระทบต่อการมาสมัครเข้าเรียนและสมัครสอบ เพื่อศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดสังเวชมาก เนื่องจากโรงเรียนตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เดียวกับโรงเรียนดังของกรุงเทพมหานคร และมีทำเลที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนดังมากมาย ทั้งที่เป็นโรงเรียนชายล้วน โรงเรียนสตรีล้วน รวมถึงโรงเรียนสหศึกษา ที่มีชื่อเสียง ทำให้จำนวนนักเรียนตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๔๗ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนนักเรียนลดลงมากว่าครึ่งหนึ่งของปีการศึกษา ๒๕๔๖ ดังนั้นเพื่อให้ทราบถึงปัจจัยที่มีผลต่อการเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนเรียนวัดสังเวช นอกเหนือจากปัจจัยที่กล่าวมานี่ว่ายังมีปัจจัยด้านอื่นๆ หรือไม่อย่างไร จึงได้มีการศึกษาเรื่องนี้
คำถามในการวิจัย
๑. ทำไมนักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ในบริเวณใกล้เคียง มาสมัครเรียนลดลง
๒. ทำไมนักเรียนที่มาสมัครเรียน เป็นนักเรียนที่สมัครเข้าเรียนโรงเรียนอื่นๆไม่ได้แล้ว
๓. สาเหตุที่โรงเรียนวัดสังเวชมีนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนลดลง และมีปัญหาในเรื่องการผิดระเบียบวินัยเพิ่มขึ้น
วัตถุประสงค์การวิจัย
๑. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดสังเวช
๒. เพื่อศึกษาสภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนวัดสังเวช
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
๑. มีนักเรียนเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนวัดสังเวชเพิ่มขึ้น
๒. นักเรียนที่เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดสังเวชมีคุณภาพและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น
ขอบเขตของการวิจัย
๑. ประชากรเป้าหมายเป็นฝ่ายบริหาร และครู นักเรียนของโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๑ จำนวน ๓๐๐ คน
๒. กลุ่มตัวอย่าง เป็นฝ่ายบริหาร ครู นักเรียน ของโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๑ และผู้ปกครอง จำนวน ๓๐๐ คน ได้จากการสุ่มแบบเจาะจง ครู ๕๐ คน ผู้บริหาร ๒๐ คน นักเรียน ๑๕๐ คน ผู้ปกครอง ๘๐ คน
๓. ตัวแปรที่ศึกษาได้แก่ปัจจัยที่มีผลต่อการเข้าศึกษาต่อและสภาพการเรียนการสอนของ
โรงเรียนวัดสังเวช
วิธีดำเนินการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเข้าศึกษาต่อและสภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนวัดสังเวช ผู้วิจัยมีวิธีดำเนินการวิจัยในหัวข้อต่างๆ ดังนี้
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ฝ่ายบริหาร ครู และนักเรียน โรงเรียนวัดสังเวชในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานครเขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้จากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจงฝ่ายบริหารจำนวน ๒๐ คน ครูจำนวน ๕๐ คน นักเรียน จำนวน ๑๐๐ คน ผู้ปกครอง จำนวน ๘๐ คน รวมทั้งสิ้นจำนวน ๓๐๐ คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามแบ่งออกเป็น 3 ตอน
ตอนที่ 1 สอบถามเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม เช่น เพศ อายุ การศึกษา มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
ตอนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดสังเวช
ตอนที่ 3 สอบถามเกี่ยวกับสภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนวัดสังเวช
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูลทำตามขั้นตอนดังนี้
1. ผู้วิจัยนำแบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างจำนวน ๓๐๐ ฉบับ และฝ่ายบริหาร ๒๐ ฉบับ
2. รวบรวมแบบสอบถามมาส่งที่รองผู้อำนวยการกลุ่มงานบริการของสถานศึกษา
3. รองผู้อำนวยการกลุ่มงานบริการของสถานศึกษารวบรวมแบบสอบถามส่งให้ผู้วิจัยเพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป
4. ผู้วิจัยรับแบบสอบถามกลับคืน โดยตรวจสอบความถูกต้องของการตอบแบบสอบถาม เพื่อให้แบบสอบถามทุกชุดมีความสมบูรณ์มากที่สุด ได้แบบสอบถามที่สมบูรณ์นำมาวิเคราะห์ได้จำนวน ๒๙๐ ฉบับ คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๖
การวิเคราะห์ข้อมูล
ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์ มีขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้
1. วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง โดยการแจกแจงความถี่(frequency ) และหาค่าร้อยละ
2. วิเคราะห์การศึกษาสภาพการประชาสัมพันธ์และปัญหาการประชาสัมพันธ์ของสถานศึกษา และภาพรวม โดยใช้ค่าเฉลี่ย (mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน 5 ระดับดังนี้
4 หมายถึง ระดับปัจจัยหรือสภาพการสอน มากที่สุด
3 หมายถึง ระดับปัจจัยหรือสภาพการสอน มาก
2 หมายถึง ระดับปัจจัยหรือสภาพการสอน น้อย
1 หมายถึง ระดับปัจจัยหรือสภาพการสอน น้อยที่สุด
0 หมายถึง ระดับปัจจัยหรือสภาพการสอน ไม่มี
กำหนดเกณฑ์ในการแปลความหมายดังนี้
ค่าเฉลี่ย 4.50 – 5.00 หมายถึง ระดับปัจจัยหรือสภาพการสอน มากที่สุด
ค่าเฉลี่ย 3.50 – 4.49 หมายถึง ระดับปัจจัยหรือสภาพการสอน มาก
ค่าเฉลี่ย 2.50 – 3.49 หมายถึง ระดับปัจจัยหรือสภาพการสอน ปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.50 – 2.49 หมายถึง ระดับปัจจัยหรือสภาพการสอน น้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.49 หมายถึง ระดับปัจจัยหรือสภาพการสอน น้อยที่สุด
ค่าเฉลี่ย 0.00 – 0.99 หมายถึง ระดับปัจจัยหรือสภาพการสอน ไม่มี
สถิติที่ใช้ในการวิจัย
การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้สถิติ ดังนี้
สถิติพื้นฐาน
1. วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างหาค่าความถี่และร้อยละ
2. วิเคราะห์เพื่อหาระดับสภาพและปัญหาการประชาสัมพันธ์ในสถานศึกษา ใช้ค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation)
(โสชญา สิทธิมาลิก )
**********************************************************