คุณยังจำวันนี้เมื่อปี 2544 ได้หรือไม่?
วันที่ชาวโลกต้องตกตะลึงกับความน่าสะพรึงกลัวของกลุ่มก่อการร้ายอัลเคดา เหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 หรือ 9/11 เป็นเหตุการณ์วินาศกรรมของการปล้นเครื่องบินในสหรัฐอเมริกา โดยเครื่องบินพาณิชย์ได้พุ่งเข้าชนกับตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และ เพนตากอน ด้วยเครื่องบินถึง 3 ลำในการก่อการ ซึ่งผู้ก่อการในครั้งนี้ได้เข้ายึดครองเพื่อบังคับให้พุ่งเข้าชนอาคารสำคัญ และยังมีเครื่องบินอีกหนึ่งลำที่ถูกจี้ด้วยเหมือนกันแต่ไม่สามารถชนตึกได้ ทั้งนี้ คาดว่าการขัดขืนจากลูกเรือและผู้โดยสารทำให้เครื่องบินลำดังกล่าว ตกลงในเขตชนบทที่ซอมเมอร์เซ็ต
เครื่องบินที่ถูกจี้มีทั้งสิ้น 4 ลำ เป็นเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง โดยเป็นรุ่น โบอิง 767-200ER จำนวน 2 ลำ (จากสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 11 และจากสายการบิน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 175) อีก 2 ลำเป็นโบอิง 757-200 (จากสายการบิน อเมริกัน แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 77 และจากสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 93) ทั้ง 4 ลำเป็นเที่ยวบินที่บินข้ามจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตก ดังนั้นจึงบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงไปเต็มที่ และเชื่อว่าการพังทลายของตึกแฝด น่าจะเกิดมาจากปริมาณน้ำมันจำนวนมากที่บรรทุกอยู่บนเครื่องบินเหล่านั้น
จากเหตุการณ์วินาศกรรมในครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น (ไม่รวมผู้ก่อการร้าย 19 คน) จำนวน 2,973 คน แบ่งเป็น เสียชีวิตบนเครื่องบิน 246 คน, ในนครนิวยอร์ก ในอาคารและพื้นดิน 2,602 คน, ในเพนตากอน 125 คน รวมถึงนักผจญเพลิงนครนิวยอร์ก 343 คน, ตำรวจนครนิวยอร์ก 23 คน, ตำรวจการท่าเรือของนิวยอร์กและนิวเจอร์ซี 37 คน และผู้สูญหายอีก 24 คน
อย่างไรก็ดี ในขณะที่เกิดเหตุหายนะอยู่นั้น ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้เดินทางจากฟลอริดากลับสู่วอชิงตัน และได้มีการออกแถลงการณ์ในเหตุการณ์ มีการขอให้ประชาชนร่วมกันสวดมนต์ให้กับผู้เคราะห์ร้าย รวมทั้งยังประกาศว่า "ผู้ที่กระทำการครั้งนี้จะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ"
เหตุการณ์ในวันนี้ก้าวล่วงเข้าสู่ปีที่ 8 ในปี 2552 การเผชิญหน้าครั้งใหม่ภายใต้การนำของประธานาธิบดี บารัก โอบามา กับกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2552 โอบามา เริ่มภารกิจการเยือนตะวันออกกลางครั้งแรกนับแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 20 มกราคม เพื่อแสวงหาการสนับสนุนจากโลกอาหรับชุบชีวิตแผนสันติภาพตะวันออกกลาง โดยก่อนหน้า 1 วัน นายไอมาน อัล-ซาวาห์รี หัวโจกหมายเลข2ของเครือข่ายก่อการร้ายอัล เคดา เผยในเทปเสียงที่นำออกเผยแพร่โดย "SITE" หน่วยงานติดตามความเคลื่อนไหวกลุ่มผู้ก่อการร้ายของสหรัฐอเมริกา ระบุให้ประเทศอียิปต์เลิกกำหนดการณ์ของโอบามา เผยการมาของผู้นำสหรัฐอเมริกา เป็นการเชื้อเชิญผู้ก่อการทรมานอียิปต์และว่าอียิปต์เป็นทาสสหรัฐอเมริกา
นายโอบามา ดูจะมีภาษีดีกว่าผู้นำสหรัฐอเมริกา คนอื่น ๆ ในโลกอาหรับ เพราะมีพ่อเป็นมุสลิมและเคยใช้ชีวิตวัยเด็กในอินโดนีเซียที่ส่วนใหญ่นับถืออิสลามด้วย แต่แม้โอบามาจะมั่นใจว่าจะสามารถฟื้นคืนการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอล -ปราเลสไตน์ได้ แต่ทำเนียบขาวยังไม่กล้าฟันธง เพราะการหารือเมื่อไม่นาน นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ยังไม่แสดงท่าทีชัดเจนสนับสนุน "มติ 2 รัฐ" ที่โอบามาสนับสนุน
ต่อมาหลังโอบามาเดินทางถึงประเทศซาอุดิอาระเบียไม่นาน สถานีโทรทัศน์อัล จาซีร่า เผยแพร่เทปเสียงของนายโอซามา บิน ลาดิน หัวโจกกลุ่มอัล เคดา กล่าวหานายโอบามา หว่านเมล็ดพันธุ์การแก้แค้นและเกลียดชังต่อสหรัฐอเมริกาในโลกมุสลิม และว่าโอบามามีนโยบายไม่ต่างจากยุคของ นายจอร์จ ดับเบิลยู.บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เตือนชาวอเมริกันเตรียมรับผลกรรมจากนโยบายเหล่านี้ แต่อัล จาซีร่า ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเทปเสียงข้างต้น
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (11 กันยายน 2552) หลายเว็บไซต์มีการเผยแพร่ภาพแรกของผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุวินาศกรรม 9/11 ขณะถูกคุมขังที่เรือนจำอ่าวกวนตานาโม อย่างแพร่หลายในอินเทอร์เน็ต ภาพของ คาลิด เชค โมฮัมเหม็ด ที่ปรากฏในเว็บไซต์หลายแห่ง แสดงให้เห็นว่า เขาไว้หนวดเครายาว และสวมผ้าโพกศีรษะสีแดง ภาพดังกล่าวถ่ายไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยช่างภาพของกาชาดสากล ซึ่งได้รับอนุญาตจากกองกำลังสหรัฐให้สามารถเข้าไปบันทึกภาพของนักโทษในเรือนจำอ่าวกวนตานาโม ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
สื่อต่างประเทศระบุว่า ถือเป็นภาพแรกของ เชค โมฮัมเหม็ด ที่ปรากฏต่อสาธารณชน หลังจากมีการเผยแพร่ภาพแรกของเขา ระหว่างถูกจับกุมที่ปากีสถาน เมื่อเดือนมีนาคม 2546 ทั้งนี้ กองทัพสหรัฐเปิดเผยว่า เชค โมฮัมเหม็ด ได้ออกมายอมรับสารภาพว่า เป็นผู้วางแผนก่อเหตุวินาศกรรม 9/11 ที่อาคารแฝด เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ขณะที่หัวโจกกลุ่มอัล เคดา โอซามา บิน ลาดิน เป็นผู้สังสัยว่าอยู่เบื้องหลังวินาศกรรม 9/11 เช่นกัน ทั้งที่ไม่มีหลักฐานว่า เขาเป็นผู้กระทำ และเป็นหนึ่งในสิบบุคคลที่สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) ต้องการตัวมากที่สุด
นอกจากนี้ ที่พิพิธภัณฑ์ 11 กันยายนแห่งชาติ ในนครนิวยอร์ก ของสหรัฐ จะมีการเปิดเผยภาพวิดีโอการโจมตีอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นมาก่อน และจะเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ที่จะรวบรวมภาพ และเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา และจะมีพิธีรำลึกถึงผู้ที่เสียชีวิต ในบริเวณที่ตั้งตึกแฝดเดิมด้วย
การก่อสร้างใหม่ในพื้นที่เดิมของอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ สำนักงานเมืองนิวยอร์กได้ตัดสินใจพัฒนาโครงการนี้ใหม่ โดยใช้ชื่อว่า เวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ คอมเพล็ก และส่วนที่ตั้งอยู่ใจกลางคอมเพล็กนี้คือ ฟรีดอม ทาวเวอร์(Freedom Tower) ที่จะสัญลักษณ์ของโครงการทั้งหมด และเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ฟรีดอม ทาวเวอร์ เป็นอาคารสูง 102 ชั้น ประกอบด้วย พื้นที่ทั้งหมด 2.6 ล้านตารางเมตร ตั้งแต่ชั้น 1-19 เป็นส่วนโพเดี่ยม ชั้น 20-63 เป็นสำนักงาน ชั้น 64 เป็นสกายล็อบบี้ ชั้น 65-88 เป็นสำนักงาน ชั้น 89-90 เป็นที่ตั้งอุปกรณ์สื่อสาร ชั้น 91-100 ติดตั้งกลไกการทำงานของอาคาร ชั้น 100-101 เป็นร้านอาหาร และ 102 เป็นชั้นชมวิว นอกจากนี้ยังมีทางเชื่อมกับรถไฟใต้ดินและระบบขนส่ง โดยเฉพาะส่วนฐานอาคารออกแบบ เป็นกระจกวางเป็นแนวตั้งซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์จะดูเหมือนกับปริซึม
ผู้พัฒนาคอมเพล็กแห่งนี้ คือ ลาร์รี่ ซิลเวอร์สเตน จาก บริษัท ซิลเวอร์สเตน พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งได้สิทธ์พัฒนาและควบคุมพื้นที่รอบ ๆ อาคาร ด้วย ส่วนสำนักงานเมืองนิวยอร์กจะทำหน้าที่ควบคุมอาคารทั้งหมด โดยซิลเวอร์สเตนลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์คอมเพล็กนาน 99 ปี เริ่มตั้งแต่กรกฏาคม 2544 หรือก่อนเกิดเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเขาให้ประกันจ่ายค่าเสียหายจากเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดฯ ทั้งสองอาคาร เป็นเงินเพิ่ม 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับให้สัญญาว่าจะพัฒนาโครงการเวิลด์เทรดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยมีเดวิด ไชด์ เป็นสถานปนิกโครงการ ฟรีดอม ทาวเวอร์ ส่วนสถาปนิกผู้ออกแบบคือ แดเนียล ลิบสไคน
โครงการฟรีดอม ทาวเวอร์นี้ มลรัฐนิวยอร์กได้ตกลงเช่าพื้นที่ 415,000 ตารางฟุต นาน 15 ปี และเปิดโอกาสให้ขยายระยะเวลาการเช่ารวมทั้งเพิ่มพื้นที่ได้อีกถึง 1 ล้านตารางฟุต และสำนักให้บริการยังตกลงเช่าพื้นที่ด้วย 600,000 ตารางฟุต โดยเริ่มตอกตอหม้อเหล็กต้นแรกเมื่อ 19 ธันวาคม 2549 และกำหนดสร้างแล้วเสร็จ ปี 2554 ใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดี การออกแบบฟรีดอม ทาวเวอร์ ช่วงเริ่มแรกนั้นได้สร้างความขัดแย้งเกิดขี้น เนื่องจากการจำกัดจำนวนชั้นเมื่อครั้งออกแบบตอนแรก ซึ่งจะใช้เป็นพื้นที่สำนักงานและอื่น ๆ โดย ซิลเวอร์สเตน เป็นคนจำกัดจำนวนชั้นเพราะเป็นห่วงว่า จำนวนชั้นที่สูงเกินไปจะทำให้ต้องรับผิดชอบเรื่องอุบัติเหตุหรือการก่อการ ร้าย การออกแบบใหม่ จึงใช้วิธีเปรียบเทียบพื้นที่กับอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เดิม และยังมีเสียงเรียกร้องจากสาธารณชนให้สร้างเป็นตึกแฝดแทนที่จะสร้างตึกเดียว
ขอขอบคุณข้อมูลจากไทยรัฐ