กลัวครู
รายงานโดย :ธิชา ชัยวรศิลป์ TishaChai@gmail.com: วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552
บ่ายวันหนึ่ง ฉันนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ที่ติดแหง็กอยู่ในซอยสยามสแควร์ ระหว่างกำลังมองออกนอกหน้าต่างดูอะไรเพลินๆ สายตาก็ปะทะเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนขอบทางเท้า เตรียมตัวจะข้ามถนน เห็นเพียงแค่วินาทีเดียวฉันก็จำได้ทันทีว่าเธอคือครูสมัยมัธยมที่ดุที่สุดคนหนึ่งในโรงเรียน เหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ และด้วยสัญชาตญาณ ฉันกำข้อมือ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นแนบหน้าอก แล้วทิ้งตัวลงนอนตะแคงบนที่นั่งอย่างว่องไวประหนึ่งทหารตชด. เบี่ยงตัวหลบลูกระเบิด ความเคลื่อนไหวอันปุบปับฉับพลันของฉัน ทำให้คนขับแท็กซี่ที่กำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่ ร้องออกมาด้วยความตกใจว่า “เอิ๊บ!” ฉันยอมตายดีกว่าที่จะให้เธอเห็น มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่หากคนที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิจะยังคงกลัวครูที่เคยสอนตอนเป็นเด็กได้ถึงขนาดนี้
นึกว่าเป็นอยู่คนเดียว เมื่อไปเล่าให้เพื่อนฟัง เธอก็เป็นโรคกลัวครูเหมือนกัน โดยเฉพาะครูที่สอนตอนเด็กๆ “ไม่เอา ไม่อยากเจอ” เธอทำหน้าย่นเหมือนเห็นแมลงสาบ “มันกลัวฝังใจ”
เหตุผลนี้ไม่ผิดความจริงเลยแม้แต่น้อย ทุกวันนี้ฉันยังจำได้ดีถึงประสบการณ์ไม่น่าพิสมัยตอนเรียนชั้นอนุบาล 2 กับครูสาวที่หน้าบึ้งตึงอยู่เป็นนิจ และใจร้ายกับเด็กๆ ความรักและเมตตาถ้าพอจะมีอยู่บ้างในตัวเธอฉันก็ไม่เคยเห็นมัน ทุกวันฉันไปโรงเรียนด้วยความกลัวว่าอาจจะโดนเธอจับหักคอ และมักจะกลับบ้านมาบอกแม่เสมอว่าโดนครูหยิกและตีอีกแล้ว เป็นเรื่องแย่ที่เด็กวัย 6 ขวบจะต้องเผชิญกับความเครียดและความกดดันขนาดนี้ในโรงเรียน
ฉันยังจำความกลัวที่มีต่อครูสอนวิชาภาษาอังกฤษในชั้นมัธยมได้ ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่เคยกลัวใครเท่านี้มาก่อน เธอมักจะตัวสั่นเทิ้มไปด้วยโทสะและแผดเสียงจนได้ยินไปทั้งตึก เธอทำให้นักเรียนรู้สึกเครียด ปั่นป่วนในช่องท้อง มีพลังอำนาจและน่ากลัวเสียยิ่งกว่าระเบิดขีปนาวุธ ฉันจำสิ่งที่เธอสอนไม่ได้เลย เพราะมัวแต่นั่งนิ่ง ไม่กล้ากระดุกกระดิก ไม่กล้าคิด ไม่กล้าหายใจ
จากประสบการณ์ของตัวเอง ฉันเสียใจด้วยที่ไม่สามารถพูดได้ว่า ความเก่งของนักเรียนเป็นสัดส่วนผันตรงมาจากความดุของครู มันไม่เป็นความจริงที่เชื่อกันว่าครูยิ่งดุจะทำให้นักเรียนยิ่งเก่ง ในเมื่อได้แต่นั่งเรียนอย่างไม่มีความสุขเพราะความกลัวครู แล้วจะเรียนเก่งได้อย่างไร ตรงกันข้ามมันกลับเป็นผลร้าย พานทำให้เด็กเกลียดกลัววิชานั้นๆ หรือการเรียนหนังสือไปเลย
ครูบางคนมิได้ตระหนักว่าในสายตานักเรียนพวกเขาเป็นเหมือนนายทหารเผด็จการในอาณาจักรเล็กๆ ที่เรียกว่าห้องเรียนนั้น กลายเป็นผู้คุมชะตาชีวิตของเด็ก มีสิทธิทำให้วันนั้นทั้งวันของเด็กคนหนึ่งกลายเป็นวันที่ดีหรือวันที่แย่ที่สุดก็ได้ มีสิทธิทำให้เด็กคนหนึ่งสอบผ่านหรือสอบตก หรือจะทำให้ตลอดชีวิตของการเป็นนักเรียนในโรงเรียนนั้นกลายเป็นนรกก็ย่อมได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น นี่เป็นเหตุผลที่ฉันไม่ชอบไปโรงเรียน แม้ว่าจะเป็นนักเรียนที่เรียนดีมาตลอดก็ตาม
ฉันเห็นบรรดาครูในหนังฝรั่งแล้วก็นิยมในความเป็นกันเอง ไม่ถืออาวุโส และใจกว้าง บางคนกระโดดแผล็วขึ้นไปนั่งบนแท่นหน้าชั้นเรียน บรรยายบทประพันธ์น่าเบื่อของเชกสเปียร์ได้อย่างสนุกสนาน พลางกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นถกเถียงกัน ชมเชยนักเรียนที่แสดงความคิดเห็น แม้ว่ามันจะฟังงี่เง่าปานใดก็ตาม นักเรียนถามคำถามยียวนลองภูมิก็ไม่โกรธ หากนักเรียนไทยชูมือขึ้นแล้วพูดว่า “ครูคะ หนูคิดว่ารามเกียรติ์เป็นบทประพันธ์ที่เหลวไหลสิ้นดี” เธออาจจะต้องถูกครูจับไปขังไว้ในห้องน้ำ 3 วันเป็นอย่างน้อย และถูกเชิญผู้ปกครองมารับทราบข้อกล่าวหาว่าบุตรีของพวกเขาเป็นเด็กหัวรุนแรง น่าเศร้าที่ตลอดชีวิตการเรียนหนังสือ 16 ปีของฉัน การเรียนการสอนแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย
ระบบการสอนแบบไทยเป็นการสอนแบบสื่อสารทางเดียว ไม่มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือกระตุ้นให้นักเรียนมีความคิด ปัญญาจึงไม่เกิด ผนวกกับครูบาอาจารย์ที่มีความเชื่อฝังหัวว่าการสอนที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการทำให้นักเรียนกลัว ระบบการศึกษาของเมืองไทยจึงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ปีแล้วปีเล่าเราผลิตนักเรียนที่จำเก่ง แต่คิดไม่เป็น และขาดความคิดสร้างสรรค์ ท่องกิริยาสามช่องได้ฉาดฉานอย่างน่ามหัศจรรย์ แต่พูดภาษาอังกฤษไม่เป็น มีความเคารพครูบาอาจารย์ ทว่าเป็นความเคารพที่มาจากความกลัวเกรงประหนึ่งหนูกลัวแมว มิใช่เคารพเพราะความนับถือด้วยน้ำใสใจจริง ในฐานะเป็นครูที่เปิดกว้าง เป็นกันเอง และชนะใจเด็ก
ในขณะที่กำลังมีการจัดการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่โดยการนำของท่านนายกฯ หัวสมัยใหม่ (ผมอยากให้ในสัปดาห์หนึ่งมี 2 วัน สำหรับให้นักเรียนออกไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียน) เราน่าจะหันมาปฏิรูประบบการสอนด้วย
การสอนหนังสือแบบปากว่ามือถึง ฟาดด้วยไม้ ถองด้วยศอก หยิกขา บิดแขน สอนไปเด็กน้ำตาไหลเปื้อนสมุดไป ทำร้ายนักเรียนทั้งทางร่างกายและจิตใจทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำยังกับนักเรียนเป็นลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่นั้น
ควรจะจับโยนใส่ลิ้นชักลั่นดาลไปพร้อมกับสำนวน “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ให้สาบสูญไปเสียที
http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=52325