นับว่าเป็นโชคดีของผม ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังอยู่ในใจของครูเรื่อยมา แม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่เก่ามาก จนครูรุ่นใหม่ๆ ไม่มีใครรู้จัก ด้วยความบังเอิญที่ผมได้มีโอกาสไปอบรมครูที่สิงคโปร์ ทำให้เห็นชีวิตของครู จากหลากหลายจังหวัด ที่เราได้ไปอบรมถึงเมืองนอกเมืองนา บรรยากาศของความเป็นครู ครุกรุ่นตั้งแต่เราเข้ารับการอบรมเตรียมตัว แม้กระทั่งตอนขึ้นเครื่องบิน และตลอดการอบรมทั้งหมด บรรยากาศเหล่านั้น ทำให้ผมมีความคิดที่จะสร้างเว็บไซต์ขึ้นมา เพื่อเป็นแหล่งการเรียนรู้สำหรับคุณครู โดยตั้งใจว่าจะให้ชื่อเว็บไซต์ "ครูบ้านนอก" ซึ่งหลังจากจดโดเมนแล้ว จึงมาทราบว่า ภาพยนตร์เรื่อง "ครูบ้านนอก" เป็นภาพยนตร์ที่หลายๆ คนชื่นชอบ ซึ่งตอนที่ภาพยนตร์เรื่องนี้โด่งดัง ผมยังจำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะอายุยังน้อย แต่ทราบจากหลายท่านว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้สะท้อนชีวิตครูจริงๆ ออกมา และภายหลัง ผมได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องนี้ จากการนำกลับมาฉายใหม่ทางโทรทัศน์ช่องหนึ่ง จึงได้ซาบซึ้งและขอบคุณผู้สร้างภาพยนตร์และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยใจจริง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ท่านกมล กุลตังวัฒนา ผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งท่านอยู่ที่มุกดาหาร บ้านเกิดของผมเอง ยิ่งทำให้เกิดความภาคภูมิใจมากยิ่งขึ้น เรื่องนี้ ทราบภายหลังครับ จึงขอนำเนื้อหาและข้อคิดบางอย่างของท่าน มานำเสนอให้ได้รับทราบกันครับ
กมล กุลตังวัฒนา
กับปาฏิหารย์คาถา "ชินบัญชร"
"ครูบ้านนอก" ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอมตะของภาพยนตร์ไทย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยโด่งดังทำรายได้ถล่มทลายเมื่อกว่า ๓๐ ปีที่แล้ว นอกจากนี้แล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างพระเอกและนางเอก ให้โด่งดังมีชื่อเสียงในเวลาต่อมา คือ ปิยะ ตระกูลราษฎร์ กับ วาสนา สิทธิเวศ
คนส่วนใหญ่รู้จักภาพยนตร์เรื่อง "ครูบ้านนอก" เป็นอย่างดี แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้จัก นายกมล กุลตังวัฒนา อดีตผู้สร้างภาพยนตร์ "ครูบ้านนอก" และประธานอำนวยการ บริษัท แท็กซี่ สร้างสรรค์ สถาบันเมืองอีสาน ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการถ่ายทอดให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนอีสาน ซึ่งต้องยอมรับว่า ภาพยนตร์เรื่องครูบ้านนอก ถือว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กไทยจำนวนไม่น้อย มีความใฝ่ฝันว่า "โตขึ้นจะเป็นครู"
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องครูบ้านนอกจะเป็นหนังเก่า แต่เมื่อถูกนำมาฉายซ้ำ ก็ยังสามารถสร้างความสุขให้คนดูอยู่ไม่น้อย และท่ามกลางความสุข ระหว่างดูภาพยนตร์เรื่องครูบ้านนอกนั้น แน่นอนที่สุดว่า คงไม่มีใครล่วงรู้ว่า กมล ต้องทนทุกข์ทรมาน กับการเป็นอัมพฤกษ์ เดินไม่ได้มานานถึง ๑๔ ปี
"หลังจากหายจากอัมพฤกษ์แล้ว จะวิ่งเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากกรุงเทพฯ ถึง มุกดาหาร ในวันที่ ๕ ธันวาคมนี้" นี่เป็นคำอธิษฐานของกมล ระหว่างที่พยายามรักษาตัวเอง ซึ่งมาวันนี้ อาการป่วยเป็นอัมพฤกษ์ของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง ทุกวันนี้สามารถเดินไปไหนมาไหนได้แล้ว
"ชีวิตที่ป่วยจากโรคอัมพฤกษ์ ผมเชื่อว่า เกิดจากกรรมไม่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนที่เขาว่า กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง ที่ได้ทำเอาไว้ ผมคิดว่าที่หายจากโรคอัมพฤกษ์ เพราะกรรมเวรมันหมดแบบกะทันหัน มันหมดเหมือนปาฏิหาริย์ ผมไม่คิดว่า มันจะทำให้ผมหายได้ไวขนาดนี้ เพียงแค่ผมสวดคาถาชินบัญชรวันละ ๙ จบ แค่เจ็ดวันเท่านั้น จากที่อาการผมหนักๆ พูดก็ไม่ค่อยชัด แต่อยู่ดีๆ มันกลับหายได้อย่างปาฏิหาริย์" นี่คือความเชื่อของกมล
ความทรมานจากอาการอัมพฤกษ์เป็นเวลา ๑๔ ปี กมลบอกว่า ในวันนี้ถือว่าดีขึ้น ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว ชีวิตดีขึ้นแบบนี้เชื่อว่า เกิดจากการสวด คาถาชินบัญชร โดยได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าปาฏิหาริย์มีจริง ขอให้หายป่วย และถ้าหายจริงๆ แล้ว จะวิ่งเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วย จากนั้นจึงเริ่มต้นสวดคาถาชินบัญชรวันละ ๙ จบ ต่อมาอาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จวบจนปัจจุบันนี้หายเกือบเป็นปกติแล้ว จึงมีความตั้งใจจะวิ่งเฉลิมพระเกียรติ ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ จากกรุงเทพฯ ไป จ.มุกดาหาร ซึ่งเป็นบ้านเกิด พร้อมร่วมฉลองการเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ ๒ ในวันที่ ๑๙ ธันวาคมนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเป็นโรคอัมพฤกษ์ กมลเกือบตาย เพราะโรคไข้โป้งมาแล้วครั้งหนึ่ง กลมเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่ง นายรุ่ง แก้วแดง อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ต้องการให้สร้างภาพยนตร์ เป็นประวัติชีวิตครูดีเด่นคนหนึ่ง ที่ ต.วังลึก อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย ที่สอนคนติดอบายมุขให้กลับตัวเป็นคนดี
ระหว่างที่ถ่ายทำอยู่นั้น คืนหนึ่งไปกินขนมที่ร้านของสาวสวยร้านหนึ่ง เมื่อกินเสร็จแล้ว เวลา ๒๒.๒๐ น. เดินกลับที่พัก ประมาณ ๒ กม.โดยไม่ยอมรอรถตู้มารับ ดวงคนเราจะถูกยิง ระหว่างเดินกลับ เจอชายฉกรรจ์ ๒ คนเดินผ่านมาแล้วก็ทักทายกัน
กมล เล่าต่อว่า ชายฉกรรจ์ต่างแนะนำว่า เป็นตัวประกอบของหนังเรา จึงไม่คิดอะไรมาก เมื่อได้คุยกันแล้วก็มองเหมือนเป็นพวกเดียวกัน จังหวะที่เดินคล้อยหลังไปนั้น ชายฉกรรจ์คนดังกล่าว ก็ชักปืนขึ้นมายิงใส่ ๑ นัด กระสุนกระจายเข้าร่างกายทั้งหมด ๑๓ เม็ด ใครเห็นแบบนี้คงคิดว่า น่าจะตาย แต่กลับไม่ตาย ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างมาก ในตัวก็ไม่มีเครื่องรางของขลัง หรือพระเครื่องอะไรเลย เพราะเชื่อว่า พระอยู่ในจิตใจของเราตลอดเวลา ปัจจุบันลูกกระสุนปืนก็ยังอยู่ในตัว ตามที่แตกนับ ๑๐ เม็ด โดยหมอไม่ยอมผ่าออก เพราะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นอันตราย
ส่วนสาเหตุการถูกยิง กมล บอกว่า น่าจะมาจากไปจีบแฟนของพวกเขาแน่นอน ขณะเดียวกัน ก็นึกถึงกรรมที่ตัวเองเคยทำ และทำให้คิดได้ว่า น่าจะเกิดจากสมัยเป็นเด็กนักเรียน อายุประมาณ ๑๒ ปี โดยใช้หนังสติ๊กไปยิงนกเอี้ยงบนต้นมะขามสูง ทันใดนั้น ร่างของนกก็ร่วงลงมา แต่ยังไม่ทันตกถึงพื้นดิน ปรากฏว่า นกตัวดังกล่าวไม่ตาย กลับตีปีกบินกลับขึ้นไปใหม่
"ผมคิดว่า การถูกยิงในระยะเผาขนแบบนี้ มันคงยังไม่ถึงคราวตายเหมือนกับนกที่ผมยิงมันก็ได้ แม้จะถูกยิงกระสุนกระจายถึง ๑๓ เม็ด มันไม่รู้สึกว่าเจ็บเลย แล้วผมก็เชื่อว่า ที่ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ มันน่าจะเกิดจากบาปกรรมที่เราเคยทำเอาไว้จริงๆ บาปกรรมที่ว่านี้ คือผมยังชอบหนีเมียไปเที่ยว มีเงินเป็นสิบล้านบาทก็ใช้หมด ใครขอไปทำอะไรก็ให้โดยไม่คิดอะไร เชื่อว่าให้เขาไปไม่นานก็หาใหม่ได้ กรรมที่ทำกับเมียมันก็คงเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ผมเป็นอัมพฤกษ์" อดีตผู้อำนวยการภาพยนตร์เรื่อง "ครูบ้านนอก" กล่าวทิ้งท้าย
เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง / ภาพ วันชัย ไกรศรขจิต
จากหนังสือพิมพ์ออนไลน์ คม ชัด ลึก
คอลัมน์ พระเครื่อง คม ชัด ลึก
ฉบับวันที่ 26/11/2549
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องนะครับ
รำลึกถึง"ครูบ้านนอก"ภาพยนต์สะท้อนชีวิตครู .30 ปีชีวิตครู..มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง