Advertisement
❝ ศิษยานุศิษย์ ขอน้อมจิต คารวะคุณ ที่เกื้อหนุน จุนเจือธรรม ❞
หลวงพ่อชา สุภัทโท (วัดหนองป่าพง)
|
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ชื่อเดิม ชา ช่วงโชติ เกิด วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ.2461 ที่บ้าน จิกก่อ หมู่ที่ 9 ต.ธาตุ อ.วารินชำราบ จ.อุบลฯ เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนพี่น้อง 7 คน
ท่านเป็นพระนักปฏิบัติ ที่เคร่งครัดมาก ท่านได้ออกธุดงค์ไปจำพรรษายังที่ต่าง ๆ เพื่อสืบเสาะหาความรู้ด้านปฏิบัติ วิปัสนาธรรม โดยท่านได้รับการอบรมสั่งสอนธรรมจากพระอริยสงฆ์หลายท่าน อาธิเช่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, หลวงปู่ กินรี จันทิโย และ ท่านได้ออกธุดงค์ เผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอน แก่ชาวบ้านตามชนบท ที่กันดารต่าง ๆ เรื่อยมาจนกระทั่ง เดือน มีนาคม 2497 ขณะที่ท่าน ธุดงค์ พร้อมด้วย พระ เณร กลับบ้านเกิด ได้บรรลุถึงชาย ป่าแห่งหนึ่ง ใน ต.โนนผึ้ง ท่านจึงได้ตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นที่นี่ ซึ่งก็คือ วัดหนองป่าพง อันเลื่องชื่อในปัจจุบัน และได้มีการขยาย สาขา ไปยัง ที่ต่าง ๆ เกืองร้อยแห่ง ทั้งในประเทศไทย และ ต่างประเทศ
เชื่อกันว่า ท่านปฏิบัติธรรม จนบรรลุถึงขั้นพระอรหันต์ ดังนั้น ธรรมเทศนาของท่าน จึงเป็นหลักธรรมที่นำมาซึ่ง ความสุข ความสงบ โดยแท้จริงโดยหลักธรรมที่ท่านมักจะกล่าวถึงบ่อย ๆ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และ ทางสายกลาง ซึ่งเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติ เพื่อไม่ให้ยึดมั่น ถือมั่น การปล่อยวาง ละทิ้งซึ่งอัตตา ไม่ยึดติดกับสิ่งใด ไม่ยึดติดกับสุข ไม่ยึดติดกับทุกข์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่แน่นอนไม่เที่ยง เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ แท้จริงแล้วตัวตนคือสิ่งสมมุติ แต่เราก็มายึดติดว่ามันมีจริง มีตัว มีตน เกิดเป็นอุปาทาน ตัวอุปาทานนี่แหละ ที่ทำให้เกิดทุกข์ เกิดภพ เกิดชาติ ชรา พยาธิ มรณะหากเราละได้ซึ่งตัวตน ตัวตนไม่มี อุปาทาน ก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่เกิด ภพชาติก็ไม่เกิด
ดังธรรมเทศนา ที่หลวงพ่อชาท่านได้สั่งสอนไว้ดังนี้
"ที่พระพุทธองค์ ตรัสว่า ไม่มีภพ ไม่มีชาติ คือ ไม่มีอุปาทานนั่นเอง อุปาทาน เป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ถ้าอุปาทานนั้น เราปล่อยไม่ได้ เราอยากสงบมันก็ไม่สงบ คนเราอยู่กับภพ ถ้าไม่มีภพ คิดไม่ได้ เพราะนิสัยของคนมันเป็นอย่างนั้น กิเลสของคนมันเป็นอย่างนั้น พระนิพพาน ที่พระพุทธองค์ท่านว่า พ้นจากภพชาติฟังไม่ได้ ไม่เข้าใจ มันเข้าใจแต่ว่า ต้องมีภพชาติ ถ้าไม่มีภพ ถ้าไม่มีที่อยู่ ฉันจะอยู่อย่างไร ยิ่งคนธรรมดา ๆ อย่างเราแล้วนี่ ฉันจะอยู่อย่างนี้ ไม่ดีกว่ารึ อยากจะเกิดอีก แต่ก็ไม่อยากตาย มันขัดกันซะอย่างนี้ ฉันอยากเกิด แต่ฉันไม่อยากตาย มันพูดเอาคนเดียว ตามประสาคน แต่การเกิดแล้วไม่ตายนั้น มีมั้ยในโลกนี้ เมื่อคนอยากเกิด ก็คือคนนั้นอยากตายนั่นเอง แต่เขาพูดว่า ฉันอยากเกิด แต่ไม่อยากตาย มันคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาก็ไปคิดให้มันเป็นทุกข์ ทำไมเขาคิดไปอย่างนั้น เพราะเขาไม่รู้จักทุกข์ เขาจึงคิดไปอย่างนั้น พระพุทธองค์ ท่านว่า ตายนี้มาจากความเกิด ถ้าไม่อยากตาย อย่าเกิดสิ แต่นี่อยากเกิดอีกแต่ไม่อยากตาย พูดกับกิเลส ตัณหานี่มันยาก มันลำบาก มันถึงมีการปล่อยวางได้ยาก"
:: อ้างอิงจากคลิปธรรมเทศนา เรื่องการปล่อยวาง นาทีที่ 32:12
ธรรมมะของท่านไม่สอนให้ยึดติด ท่านสอนให้ละ ให้ปล่อย ให้วาง สุขก็ไม่ยึด ทุกข์ก็ไม่ยึด ทำใจให้อยู่เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือดี เหนือชั่ว เหนือเหตุ เหนือผล ดังจะเห็นได้จากว่า ท่านจะไม่สร้าง พระเครื่อง หรือ ปลุกเสก วัตถุมงคลใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านเห็นเป็นทางเสื่อม ทำให้คนยึดติด ทำให้คนหลงงมงายไปในทางที่ผิด เห็นเป็นของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ แท้จริงแล้ว ธรรมะ ไม่ได้เป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นของจริง เป็นแนวทาง ที่ช่วยให้เราพ้นทุกข์ นั่นคือ นิพพาน นั่นเอง นิพพานที่แท้ เงินหาซื้อไม่ได้ แม้จะเอาเงิน เอาทองทั้งโลก มากองรวม ๆ กันก็หาซื้อได้ไม่ แต่ก็เป็นสิ่งที่ราคาถูกที่สุดในคราวเดียว คือ ได้มาฟรี ๆ นิพพานที่แท้ ได้มาฟรี ๆ ดังนั้น คนทุกคน ในโลกนี้ สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชาย หรือ หญิง ถ้ารู้หลักปฏิบัติ และ เข้าใจในหลักธรรม การเข้าใจธรรมอย่างเดียวไม่พอ ต้องปฏิบัติด้วย ธรรมะ ที่ไม่ปฏิบัติ ไม่เกิดผลใด ๆ
ดังธรรมเทศนา ที่หลวงพ่อชาท่านได้สั่งสอนไว้ดังนี้
"เจ้านายบางคน ก็มากราบหลวงพ่อ เข้ามาถามว่า บ้านเมืองมันจะเป็นยังไงหนอ คงจะไม่เป็นอะไรมังครับ มันมีอำนาจของพระพุทธ อำนาจของพระธรรม อำนาจของพระสงฆ์ มีอำนาจของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา ไม่มีอำนาจอะไร แม้ก้อนทองคำ ก็ไม่มีราคา ถ้าเราไม่มารวมกันว่า มันเป็นโลหะที่ดี มีราคา ทองคำมันก็จะถูกทิ้ง เหมือนก้อนตะกั่ว เท่านั้นแหละ พระพุทธศาสนา ตั้งไว้ มีอยู่ แต่ถ้าเราไม่ประพฤติ ปฏิบัติ จะไปมีอำนาจอะไรเล่า อย่างธรรมะเรื่องขันติมีอยู่ แต่เราไม่อดทนกัน มันจะมีอำนาจอะไรมั้ย อำนาจหลักพระพุทธศาสนาก็คือ พวกเรา ที่เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนานี่แหละ ช่วยกันบำรุง เช่น ทำให้ศีลธรรมให้เกิดขึ้นมา ทำศีลธรรมให้เกิดขึ้นมา มีความสามัคคีกัน มีความเมตตาอารี ซึ่งกันและกัน มันก็จะเกิดขึ้นมาเป็นกำลังของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่า พระพุทธศาสนา มันมีอำนาจ ที่มีอำนาจก็เพราะ เราเอาธรรมะ มาปฏิบัติให้ถูกต้อง มันจึงจะมีพลังเกิดขึ้นมา ช่วยแก้ปัญหา หลายสิ่งหลายอย่าง อย่างเช่น คนในศาลานี้ ตั้งใจจะรบกัน แต่พอมาฟังธรรมะที่ว่า การอิจฉา หรือ การพยาบาท มันไม่ดี เข้าใจทุก ๆ คน เท่านั้นก็เลิกกัน อำนาจพระพุทธศาสนา ก็เต็มเปี่ยมขึ้นมาเดี๋ยวนั้น แต่ถ้าพูด ให้ฟังเท่าไร ๆ ก็ไม่ยอมกัน มันก็รบกัน เท่านั้นแหละ พระพุทธศาสนา จะมากันอะไรได้ นี่มันเป็นอย่างนี้"
:: อ้างอิงจากคลิปธรรมเทศนา เรื่องธรรมที่หยั่งรู้ยาก นาทีที่ 40:10
|
ขอบคุณ
วันที่ 1 มิ.ย. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,152 ครั้ง เปิดอ่าน 7,148 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,159 ครั้ง เปิดอ่าน 7,262 ครั้ง เปิดอ่าน 7,135 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,133 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,135 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,170 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,162 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,134 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,137 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,142 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,139 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,142 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,154 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 29,244 ครั้ง |
เปิดอ่าน 41,887 ครั้ง |
เปิดอ่าน 6,540 ครั้ง |
เปิดอ่าน 34,369 ครั้ง |
เปิดอ่าน 15,827 ครั้ง |
|
|