ย่างเข้าสู่ต้นฤดูฝน ที่มาอย่างรวดเร็วในสัปดาห์นี้ ฝนตกหนักสลับเบามาเป็นอาทิตย์แล้ว ผมจึงอยากนำวิธีการขับขี่ในสภาพถนนเปียกมานำเสนอครับ
1.ช่วงที่ฝนตก ไม่ควรใช้ความเร็วเกินกว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือเร็วกว่านั้นเล็กน้อย ตามแต่สภาพผิวถนนและสภาพการจราจร เพระอาจเกิดอันตราย จากการลื่นไถลของรถยนต์ถ้าใช้ความเร็วสูง และผิวถนนมีน้ำท่วมขังอยู่บนผิวการจราจรในขณะที่ฝนตกหนัก และอาจประสบปัญหาลื่นไถลจากการเบรคอย่างรุนแรง แม้จะมีระบบป้องกันล้อล็อก (abs) ก็ตาม เพระยางไม่สามารถรีดน้ำออกจากหน้ายางที่จะสัมผัสกับผิวถนนได้อย่างเต็มที่ ทำให้รถยนต์ที่ใช้ความเร็วสูงในระหว่างฝนตกเกิดอาการเหินน้ำ หรือที่หลายท่านเรียกว่า hydro planning หรือ การแล่นบนผิวน้ำ
โดยปกติแล้วน้ำที่ท่วมขังผิวการจราจร เมื่อยางรถยนต์แล่นไปบนน้ำ ยางของท่านต้องใช้น้ำหนักและดอกยาง กดไล่นำ้ให้ไปที่ร่องยาง และสลัดน้ำออกไปด้านข้างทั้งสองเพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนได้อย่างเต็มที่ ถ้ายางหมุนเร็วจนเกินไปเพระผู้ขับใช้ความเร็วสูงมาก ดอกยางก็ไม่สามารถกดไล่น้ำให้เข้าไปที่ร่องยางได้ทัน รถยนต์อาจเกิดการลื่นไถลได้
2.หลายท่านมีความจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำ เพื่อไปให้ถึงที่หมาย จึงควรตรวจเช็คลมยางเป็นประจำ ถ้าถนนที่จะขับผ่านมีน้ำท่วมขังบ้างแต่ยังพอขับได้ควรเติมลมยางให้สูงกว่าปกติ 2-3 ปอนด์ต่ตารางนิ้ว เพื่อทำให้หน้ายางแข็ง และมีกำลังในการวิ่งตัดน้ำ
3.ยางที่ร่องตื้น หรือยางหัวโล้น ควรรีบเปลี่ยนทันทีที่ฤดูฝนมาถึง เพระดอกยางและร่องยาง มีไว้ให้น้ำแทรกตัวและสบัดออก
4.ควรเลือกใช้ยางดอกละเอียด หรือยางที่มีลายดอกยางเป็นรูปตัววี เพระมีร่องยางที่ช่วยในการรีดน้ำได้ดีขึ้น
5.มียางอะไหล่ พร้อมทั้งแม่แรงติดรถไว้ตลอดเวลา และหมั่นตรวจเช็คลมยางอะไหล่ด้วย
ขอให้มีความสุขกับฤดูฝนที่มาถึงเร็วกว่าทุกปีครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก :: MR.Black หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ