แรกแย้มชีวิต มีเพียง จิตหนึ่ง
ไม่เคือง ขึ้ง ชัง รัก ไม่ดำ ไม่ขาว
เติบใหญ่จึง หมั่น ค้นหา ไขว่คว้า
ด้วยใจแทรกอยู่ในบริบท ชาวโลก
ที่ล้วนกิเลสหนา ตัณหาท่วม
หนีดำ พบขาว สลัดทุกข์คว้าสุข
หนีเกลียดหารัก ทิ้งนรกขึ้นสวรรค์
หลีกคนชั่ว เลือกคบคนดี
จิตหนึ่ง ซึ่งเป็นกลางว่างอยู่แล้ว ค่อยเลือนหาย
เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เตลิดหลง
ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์
พะว้าพะวังขวนขวายอยู่เช้าค่ำ ขยันหมั่นเพียรพิรี้พิไร
ไตร่ตรองสมองทำงาน ไม่หยุดหย่อน ผ่อนปรน
ด้วยสับสนหนทาง ว่าขาวดีกว่าดำ รักดีกว่าชัง
สุขดีกว่าทุกข์ สวรรค์ดีกว่านรก แบบคนละโลก
อัตตาจึงบังอนัตตาทุกขณะจิต จนมิดมืดบอด
ความจริง รักดีกว่าชังเพียงนิดหนึ่ง สุขดีกว่าทุกข์นิดเดียว
สวรรค์สูงกว่านรกเพียงเล็กน้อย ด้วยยังอยู่ในกระแสโลกิยะเหมือนกัน
แต่จิตหนึ่ง ไม่แบ่ง รักหรือชัง สุขหรือทุกข์ สวรรค์หรือนรก
จิตหนึ่งจึงมีสภาพเป็นกลาง ไม่เลือกข้างใดระหว่างรักกับชัง
ระหว่างทุกข์กับสุข นรกกับสวรรค์ ไม่แบ่งแยกชั้น
ด้วยเกิดจากจิตดวงเดียวกัน ต่างแต่อุปาทานที่แต้มเติม
ดั่งนี้แล้วจิตหนึ่งจึงเป็นกลาง วางเฉย เป็นอุเบกขา
ไม่ยี่หระทั้งรักและชัง สุขและทุกข์ สวรรค์และนรก
จิตหนึ่งจึงเป็นอนัตตา ที่เพิกถอนอัตตา พาพ้นทุกข์
สรรพชีวิตที่มีจิตใจ ใคร่ครวญไตร่ตรอง
เพ่งพิศตั้งใน จิตหนึ่ง
อณูทิพย์ ธารทอง