"กำจร"ระบุหวังประมวลผลรู้สภาพต้นตอแท้จริงคาดอีก2สัปดาห์ทราบผล
ปลัด ศธ.มอบ เลขาฯ ก.ค.ศ.ล่าข้อมูลบัญชีรายรับ-รายจ่ายครูจากหน่วยงานต้นสังกัด แจงไม่ต้องระบุชื่อ ตัดปัญหาละเมิดสิทธิส่วนตัว หวังประมวลผลให้รู้สภาพปัญหาหนี้ครูที่แท้จริงจะได้แก้ตรงจุด คาดแล้วเสร็จใน 2 สัปดาห์
นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ปลัด ศธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าตามกรณีที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) มอบให้ไปดูบัญชีเงินเดือนข้าราชการครูในสังกัด ศธ. ว่ามีการหักเงินเดือนชำระหนี้ในระบบทั้งในส่วนธนาคาร สหกรณ์ออมทรัพย์ครู รวมถึงอื่นๆ แล้วครูมีเงินเดือนเหลือเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่าไหร่ ว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (เลขาฯ ก.ค.ศ.) ทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ดำเนินการรวบรวมข้อมูลการเงินในภาพรวมของข้าราชการครูในสังกัด โดยขอเฉพาะตัวเลขเงินเดือนและการหักเงินเดือนในภาพรวม ไม่ต้องระบุชื่อบุคคล และส่งข้อมูลมายังสำนักงาน ก.ค.ศ. ภายใน 15 วันเพื่อนำไปประมวลผล
"เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังวลใจว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของครู เพราะฉะนั้น ข้อมูลที่ขอไปนั้นจึงขอเป็นภาพรวม ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีข้อมูลอยู่แล้วว่าบุคลากรเงินเดือนเท่าไหร่ ถูกหักไปเท่าไหร่ โดยไม่ต้องระบุชื่อบุคคลหรือตำแหน่ง และหัวหน้าส่วนราชการจะต้องรับรองว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลภาพรวมที่อาจไม่ได้ต้องการความเที่ยงตรง 100% แค่ต้องการดูปัญหาหนี้สินครูที่มีอยู่ในเวลานี้มีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งตรงนี้ ก.ค.ศ.จะนำข้อมูลที่ได้รับไปประมวลผล โดยอาจตั้งสมมุติฐานหลายๆ รูปแบบ อาทิ มีเงินเดือนน้อยกว่ากี่เปอร์เซ็นต์เป็นปัญหา เป็นต้น เพื่อได้รู้ว่าเรามีมีปัญหาเรื่องใดมากที่สุด โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์" ปลัด ศธ.กล่าว
นพ.กำจรกล่าวต่อว่า ส่วนที่มอบให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ไปสำรวจความต้องการของครูในการดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพ อาทิ ทั้งสุขภาพอนามัย ที่อยู่อาศัย การศึกษาบุตร รวมถึงความป่วย ทุพพลภาพ ว่าความต้องการแท้จริงมีเรื่องใดบ้าง ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ หากต้องการทุกอย่างก็ต้องมาจัดระบบ ซึ่งการดูแลเรื่องดังกล่าวควรนำเงินกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษโครงการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาฯ มาดำเนินการจะมีความเหมาะสม.
ที่มา ไทยโพสต์ วันที่ 12 ตุลาคม 2558