ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงเป็นข่าวทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเพจเฟซบุ๊ก ชุมชนข่าวขอนแก่น เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 กรณี “ผู้ปกครองร้องเรียนลูกหลานได้รับเงินปัจจัยพื้นฐาน ๕๐๐ บาท จากกองทุนนักเรียนยากจน แต่ทางโรงเรียนไม่เคยให้เงินทุนดังกล่าว ผู้อำนวยการโรงเรียนได้ชี้แจงว่านำเงินไปจัดซื้ออุปกรณ์การเรียน ชุดกีฬา แจกทั้งโรงเรียน ตามระเบียบ ๔ ข้อที่สามารถทำได้ เพื่อถัวเฉลี่ยให้นักเรียนทุกคนได้รับเท่ากัน ยอมรับว่าใช้เงินผิดประเภท” นั้น จากการสืบข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากหน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษาดังกล่าว และตรวจสอบข้อมูลทะเบียนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา ดังกล่าวแล้ว พบว่า เป็นผู้บริหารสถานศึกษาที่ขาดการต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2567 และไม่พบข้อมูลการดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแต่อย่างใด
เลขาธิการคุรุสภา กล่าวต่ออีกว่า กรณีผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาไม่ต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 เป็นการฝ่าฝืน มาตรา 43 และมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติสภาครูฯ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงได้มอบหมายให้สำนักจรรยาบรรณวิชาชีพและนิติการ ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหารสถานศึกษาดังกล่าว คู่ขนานกับการดำเนินการทางจรรยาบรรณของวิชาชีพตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
“ดิฉันจึงขอเน้นย้ำให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ประพฤติปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครูอย่างเคร่งครัด และตรวจสอบสถานะใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบวันหมดอายุใบอนุญาตฯ ของตนเอง และยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตฯ ได้ภายใน 180 วันก่อนวันหมดอายุ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ KSP Self - Service หรือเว็บไซต์ของคุรุสภา แบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้บริการได้ทุกที่ ทุกเวลา เพื่ออำนวยความสะดวกในการต่ออายุใบอนุญาตฯ ซึ่งจะช่วยลดภาระด้านค่าใช้จ่าย และการเดินทางของผู้ประกอบวิชาชีพทุกคน ตามนโยบายของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. หากมีข้อสงสัยในด้านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และพนักงานเจ้าหน้าที่คุรุสภา ในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดทั่วประเทศ” ผศ.ดร.อมลวรรณ กล่าว
ที่มา สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา