ในปีพุทธศักราช 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้คำว่า “จังหวัด” แทน “เมือง” และให้เปลี่ยนการเขียนชื่อจังหวัดใหม่จาก “ประทุมธานี” เป็น “ปทุมธานี” ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยุบจังหวัดธัญบุรีมาขึ้นกับจังหวัดปทุมธานี เมื่อ พ.ศ.2475 จังหวัดปทุมธานีจึงได้แบ่งการปกครองเป็น 7 อำเภอ ดังที่เป็นเช่นปัจจุบันนี้
นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้พระราชทานนามเมืองประทุมธานีเป็นต้นมา จังหวัดปทุมธานีก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ เป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ มีศิลปวัฒนธรรมและเอกลักษณ์อื่นๆ เป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวปทุมธานีภาคภูมิเป็นอย่างยิ่ง และเป็นจังหวัดในเขตปริมณฑลที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคตอันใกล้
เมืองปทุมธานีหรือเมืองดอกบัวมีประชากรทั้งสิ้น 817,294 คน เป็นชาย 392,677 คน เป็นหญิง 424,617คน และมีพื้นที่ภายใต้การปกครองทั้งหมดจำนวน 7 อำเภอ คือ เมืองปทุมธานี , คลองหลวง, ธัญบุรี ,หนองเสือ,ลาดหลุมแก้ว,ลำลูกกา และสามโคก ซึ่งสามารถแบ่งเป็นทั้งหมด 60 ตำบล 529 หมู่บ้าน การปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาล 13 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล 50 แห่ง
เมืองธานีหรือเมืองดอกบัวนี้ปกครองแบบประชาธิปไตย ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นเกษตรกร ทำเรือกสวนไร่นา และมีกลุ่มสามโคกที่ประกอบอาชีพเป็นชาว หัตกรรม หรือ ทำการปั้นโอ่งขายเป็นอาชีพหลัก และได้ทำการส่งโอ่งออกไปขายยังจังหวัดใกล้เคียง จนมีชื่อเสียงโด่งดังทางการปั้นโอ่ง
เมืองลาดหลุมแก้วหรืออำเภอลาดหลุมแก้ว อยู่ในเขตการปกครองของเมืองดอกบัว ได้ประกาศตั้งเป็นอำเภอเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2459 มีเขตการปกครอง 6 ตำบล คือ ตำบลระแหง ตำบลหน้าไม้ ตำบลลาดหลุมแก้ว ตำบลคูขวาง ตำบลคูบางหลวง และตำบล คูตัน ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2479 ทางราชการได้โอนตำบลบ้านแหลม อำเภอบางกระดี จังหวัดปทุมธานี (อำเภอเมืองปทุมธานี) มาขึ้นกับอำเภอลาดหลุมแก้ว อีก 1 ตำบล ต่อมาเมื่อ
พ.ศ.2488 ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อตำบลในท้องที่อำเภอลาดหลุมแก้ว รวม 2 ตำบล คือ ตำบลบ้านแหลม เป็นตำบลคลองพระอุดมและตำบลคูตันเป็นตำบลบ่อเงิน ปัจจุบันอำเภอลาดหลุมแก้ว มีเขตการปกครอง 7 ตำบล คือ ตำบลระแหง ตำบลหน้าไม้ ตำบลลาดหลุมแก้ว ตำบลบ่อเงิน ตำบลคูขวาง ตำบลคูบางหลวง และตำบลคลองพระอุดม จังหวัดปทุมธานี แต่เดิมมีการปกครอง 3 อำเภอ คือ อำเภอเมืองปทุมธานี อำเภอสามโคก แล อำเภอเชียงราก ที่ตั้งที่ว่าการอำเภอทั้งหมดตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ ๆ กัน แต่มีเขตท้องที่จากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางทิศตะวันตกยาวมาก ประชาชนที่อยู่ทางทิศตะวันตก ของแม่น้ำเจ้าพระยา จะไปติดต่อราชการที่อำเภอต้องเสียเวลามาก กระทรวงมหาดไทยจึงได้แบ่งเขตท้องที่การปกครองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมดขึ้นเป็นอำเภอ โดยให้ย้ายอำเภอเชียงรากมาสร้างทางทุ่งตะวันตก ในเขตตำบลลาดหลุมแก้ว แต่ยังมิทันสร้างเสร็จ เพราะพิจารณาเห็นว่ามีเนื้อที่น้อยไปจึงสร้างที่ใหม่ในเขตตำบลระแหงในปัจจุบันนี้ นายอำเภอขณะนั้น (พ.ศ.2458) คือ รองอำมาตย์โทขุนวิเศษภักดี ในระยะแรกให้เรียก ชื่ออำเภอที่สร้างใหม่ไป ชั่วคราวก่อนว่า “อำเภอระแหง" ต่อมาเมื่อได้รับ พระบรมราชานุญาตแล้วจึงเรียกชื่อเป็นทางการต่อไป ครั้นได้มีการประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 28 มีนาคม 2459 เรื่องให้แบ่งเขตท้องที่จังหวัดปทุมธานี ให้เรียกชื่ออำเภอ ที่สร้างใหม่ว่า "อำเภอลาดหลุมแก้ว" โดยที่ตั้งที่ว่าการอำเภอลาดหลุมแก้วตั้งอยู่ริมคลองระแหง หมู่ที่ 4 ตำบลระแหง ต่อมาปี พ.ศ.2517 กรมทางหลวงได้ทำการก่อสร้างถนนสายปทุมธานี - บางเลน ปรากฏว่าอาคารที่ว่าการอำเภอลาดหลุมแก้ว ถูกแนวทางหลวงแผ่นดินสายปทุมธานี - บางเลน จึงได้ทำการรื้อถอนและไปสร้างใน ที่แห่งใหม่ ซึ่งมีผู้อุทิศให้แก่ทางราชการ จำนวน 20 ไร่ ห่างจากที่ว่าการหลังเดิมไปทางทิศตะวันตก 1.7 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 1 ตำบลระแหง ต่อมาในปี 2537 ได้ดำเนินการก่อสร้างที่ว่าการอำเภอหลังใหม่ โดยได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2537 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีในขณะนั้น (ร้อยตรีศรีรัตน์ หริรักษ์) เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ การก่อสร้างได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเรียบร้อย เมื่อวันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2537 เป็นต้นมา จนกระทั่งได้ทำพิธีเปิดป้ายอาคารที่ว่าการอำเภอ โดยอธิบดีกรมการปกครอง (นายชูวงษ์ ฉายะบุตร) เป็นประธาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2538
ตำบลคลองพระอุดมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอลาดหลุมแก้ว เดิมเรียกว่า ตำบลบ้านแหลม มีคลองธรรมชาติไหลผ่าน ชื่อคลองราชโด ในปี พ.ศ. 2483 – 2485 กรมชลประทาน โดย คุณพระอุดมโยธาธิยุทธ อธิบดีกรมชลประทาน ได้ทำการขุดลอกคลองราชโด ประชาชน และทางราชการจึงได้พร้อมใจกันตั้งชื่อคลองและตำบลใหม่ ตามชื่อของท่านอธิบดีกรมชลประทานว่า “ตำบลคลองพระอุดม” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 กระทรวงมหาดไทย ได้มีประกาศจัดตั้งตำบลคลองพระอุดม ให้เป็นองค์การบริหารส่วนตำบลตาม พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 ตำบลคลองพระอุดมมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 4,513 คน แยกเป็นชาย 2,230 คน หญิง 2,283 คน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางการเกษตร ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ และรับจ้างในโรงงานอุตสาหกรรม จำนวนหมู่บ้านในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลทั้งหมู่บ้าน มีจำนวน 7 หมู่ ได้แก่ หมู่ 1บ้านคลองพระอุดม,หมู่ 2 บ้านคลองพระอุดม ,หมู่ 3 บ้านคลองพระอุดม ,หมู่ 4 บ้านคลองพระอุดม ,หมู่ 5 บ้านคลองเจ้าเมือง ,หมู่ 6 บ้านคลองเจ้าเมือง และ หมู่ 7บ้านคลองเจ้าเมือง
ด้านการศึกษาตำบลคลองพระอุดม มีโรงเรียนประถม 3 แห่ง คือ โรงเรียนวัดทองสะอาด, โรงเรียนคลองพระอุดม และ โรงเรียนบ้านคลองเจ้าเมือง ส่วนโรงเรียนมัธยม มี 2 แห่งคือโรงเรียนวรราชาทินัดดามาตุวิทยา และ โรงเรียนบ้านคลองเจ้าเมือง ซึ่งต่อมาโรงเรียนวรราชาทินัดดามาตุวิทยาได้นำตำนานรักของเจ้าหญิงผ้าไหม และเจ้าชายก้อนดินมาจัดเป็นหลักสูตรท้องถิ่นของนักเรียนชั้นมัญธยมศึกษาปีที่ 2 ในกลุ่มวิชาสาระการงานและพื้นฐานอาชีพ ซึ่งเป็นวิชาเลือกให้นักเรียน หรือเยาวนรุ่นใหม่ ได้ศึกษาค้นค้าเป็นตำราเรียนสืบไป
หนุ่มก้อนดิน เป็นชาวสามโคกโดยกำเนิดซึ่งมีวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่กลุ่มชนอยู่ร่วมกันฉันเครือญาติ ทำมาหากินพออยู่พอกิน ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ พึ่งพาดินฟ้าอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ วิถีวัฒนธรรมเครือญาติ ชุมชนชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้คนยังมีศีลธรรม น้ำใจยังพอมีไม่ร้อนแล้งแห้งเหือด เราเรียนรู้พัฒนาชีวิตร่วมกับกัลยาณมิตรทุกคน
ส่วนสาวผ้าไหมเป็นชาวลาดหลุมแก้ว ที่ตำบลคลองพระอุดม มีวิถีชีวิตท่ามกลางความเจริญรุ่งเรืองของสังคมเมือง มีโรงงานอุตสาหกรรมมากมาย เปรียบคล้ายทะเลกลางพายุที่บ้าคลั่ง ก้าวร้าว รุนแรง ซัดกระหน่ำด้วยคลื่นกิเลส โลภ โกรธ และหลงผิด ถูกซ้ำเติมครอบงำจากวัตถุ อำนาจ เงินตรา ผู้คนแข่งขันแก่งแย่งชิงดี คนรวยข่มแหงคนจน
จนมาวันหนึ่งมีกามเทพได้แผลงศรให้ทั้งสองคนได้มาพบรักกัน คือ ชายชาวคลองพระอุดม นามว่านายนิคม บางจริง ซึ่งขณะนั้นได้ลาออกจากการเป็นพนักงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งแล้วเดินทางกลับมาอยู่บ้าน ขณะที่อยู่บ้านนั้น ก็ได้คิดหาลู่ทางทำมาหากินโดยการนำผลิตภัณฑ์พื้นบ้านมาทำเป็นตัวสินค้าเพื่อออกจำหน่าย โดยเริ่มจากการทำดอกไม้จันท์ ขายตามงานศพต่าง ๆ แต่เนื่องจากดอกไม้จันท์มีข้อจำกัดทางด้านการขาย เพราะดอกไม้จันท์มีคู่แข่งทางธุรกิจมาก มีการแข่งขันสูง ประกอบกับงานศพไม่ได้มี ทุกวัน จึงทำให้รายได้ในแต่ละเดือนค่อนข้างน้อย สู้กับรายจ่ายไม่ไหว จึงตัดสินใจหาสินค้าตัวใหม่มาแทนดอกไม้จันท์ และเกิดความคิดว่าน่าจะหาสินค้าอะไรที่มีอยู่แล้วในเมืองดอกบัวมาตกแต่ง ใหม่เพื่อให้เกิดเป็นมูลค่าเพิ่มกับตัวสินค้านั้น จนสุดท้ายได้เกิดแนวความคิดที่จะนำโอ่งจากกลุ่มสามโคก(นายก้อนดิน) มาประดับตกแต่งให้เกิดความสวยงาม เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า โดยเริ่มจากการตกแต่งด้วยผ้าฝ้าย(สาวผ้าฝ้าย) แต่มีข้อกำกัดเนื่องจากผ้าฝ้ายมีซีดง่าย สีสันไม่สดใส ทำให้ไม่เป็นที่สะดุดตาของผู้พบเห็น จึงได้มีการคิดพัฒนามาใช้เป็นผ้าไหม (สาวผ้าไหม) และมีการตกแต่งด้วยดิ้นเงิน และดิ้นทอง หลากหลายลวดลาย ให้ลูกค้าได้เลือกตามความพอใจและจะเห็นได้ว่าความรักของสาวผ้าไหมและนายก้อนดินได้ทำให้ชีวิตที่ยุ่งเหยิงของคนเมืองสามารถผสมผสานกับชีวิตของสังคมชนบทที่มีวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายได้อย่างลงตัว และนี่เองที่ทำให้ตำนานรักของสาวผ้าไหม กับนายก้อนดินได้เป็นที่กล่าวขานและตัวผู้จัดทำขอยกย่องเป็นเจ้าหญิงผ้าไหม กับ เจ้าชายก้อนดินของคนรุ่นลูกหลานด้วยความภาคภูมิใจสืบต่อไป |