Advertisement
ร้านอาหารสุดยีสต์ "จ่ายเท่าที่คุณอยากจ่าย" |
|
คุณเคยรู้สึกแบบนี้หรือไม่ !!
เมื่อเดินเข้าไปกินอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง พอเช็กบิลแล้วรู้สึกว่า ราคากับคุณภาพของอาหารนั้นไม่สมเหตุสมผล
คุณภาพของอาหารแต่ละจานนั้นเทียบไม่ได้กับราคาอาหารที่แพงหูฉี่
ทั้งๆ ที่ยังไงอาหารนั้นก็ดีกว่าที่คุณกินที่แคนทีน ในตึกออฟฟิศ ความรู้สึกแบบนี้เป็นเรื่องของความคาดหวังที่ผู้บริโภคมีต่อสิ่งที่เขาจ่าย แน่ล่ะว่าเมื่อเราอุตส่าห์วางแผน เดินทาง สละเวลาไปกินร้านอาหารที่โปรโมตกันว่าอร่อย บรรยากาศเลิศ เราย่อมคาดหวังมากกว่าการกินมื้อเที่ยงที่ออฟฟิศ ซึ่งเราหวังแค่รสชาติที่พอกินได้ และกินแค่พออิ่ม
ราคาของอาหารจึงขึ้นอยู่กับความคาดหวังของผู้บริโภคอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
การตั้งราคาอาหารจึงเป็นศาสตร์และศิลป์ อย่างหนึ่งในการที่จะมัดใจลูกค้า
ถ้ายุ่งยากขนาดนั้นจะดีกว่าหรือเปล่า ถ้าให้ลูกค้าสามารถตั้งราคาอาหารได้เอง ประมาณว่าเมื่อกินไปแล้วและรู้สึกว่าอาหารควรจะมีราคาประมาณเท่าไหร่คุณก็จ่ายราคาตามนั้น ประมาณว่าถ้าคิดว่าควรจะเป็นแค่ 50 บาทก็จ่าย 50 บาท ถ้าคิดว่า 120 บาทก็จ่าย 120 บาท
ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องที่ประหลาดและแทบจะเป็นไปไม่ได้ในโลกธุรกิจ ที่ร้านอาหารต้องการกำไรเพื่อความอยู่รอด แต่ไอเดียประหลาดๆ แบบนี้กำลังเป็นเทรนด์ล่ามาแรงในต่างประเทศ ตอนนี้ในหลายเมืองใหญ่ทั่วโลกตั้งแต่ เวียนนา วอชิงตัน ยูทาห์ เมลเบิร์น ฯลฯ กำลังมีร้านอาหารประเภทนี้ให้บริการ เป็นร้านอาหารสุดยีสต์ ที่ยอมให้ลูกค้าจ่าย เท่าที่พวกเขาอยากจ่าย
เจ้าของร้าน ที่ชื่อ "เดอ ไวเนอร์ ดีวาน" ซึ่งเป็นร้านที่เสิร์ฟอาหารสไตล์ปากีสถานและมังสวิรัติในเวียนนาบอกว่า "การให้ลูกค้าตัดสินใจว่าเขาจะจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เขาคิดว่าควรจะจ่าย เป็นการสร้างความธรรมให้กับลูกค้าและกลยุทธ์แบบนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจอะไร ของเราเลย"
เรียกว่า ธุรกิจก็ยังคงมีกำไรและอยู่ได้แบบสบายๆ
อย่างไรก็ตาม "วัน เวิร์ล คราฟ" ที่วันนี้มีร้านสาขาถึง 3 แห่งในสหรัฐอเมริกาที่ถือเป็นต้นตำรับของร้านอาหารประเภทที่ว่านี้ ยังถือว่าการทำร้านอาหารของพวกเขา ถือเป็นภารกิจสำคัญในการหยุดความหิวโหย ที่ยังมีอยู่ทั่วโลก โดยวางตัวเองที่จะเป็นครัวของชุมชนที่ให้บริการอาหารที่มีคุณภาพกับคนในชุมชน โดยทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจนสามารถจ่ายได้เท่าที่ความสามารถที่พวกเขาพึงมี
บรรดาร้านอาหารที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้บอกด้วยว่า ตั้งแต่พวกเขาเปิดร้านอาหารมา มีลูกค้าจำนวนน้อยมาก ที่จะเอาเปรียบทางร้านโดยจ่ายราคาอาหารที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็นนอกจากพวกเขาจะไม่มีเงินจ่ายจริงๆ และลูกค้าส่วนใหญ่ก็ยินดีจ่ายราคาอาหารในราคาที่พวกเขาคิดว่าควรจะเป็นซึ่งสำหรับลูกค้าบางคนที่เข้ามากินอาหารแล้วไม่มีเงินจ่าย เราก็ยินดีที่จะให้พวกเขากินฟรี เพราะถือว่าเป็นการช่วยเหลือคนในสังคมอย่างหนึ่ง โมเดลธุรกิจแบบนี้จึงอาจจะจัดได้ว่าเป็นธุรกิจเพื่อสังคมของจริง
ว่าแต่จะมีใครสักคนที่กล้าหาญจะนำโมเดลแบบนี้มาใช้ในไทย ถ้าคุณเป็นหนึ่งในผู้กล้านั้นทำแล้วอย่าลืมเล่าสู่กันฟังบ้าง จะว่าไปนี่อาจจะเป็นอีกโมเดลฝ่าวิกฤตธุรกิจ ก็เป็นได้ !! |
วันที่ 9 พ.ค. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,143 ครั้ง เปิดอ่าน 7,159 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 9,667 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,164 ครั้ง เปิดอ่าน 7,135 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,182 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,133 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,135 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,149 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,145 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 10,247 ครั้ง |
เปิดอ่าน 16,232 ครั้ง |
เปิดอ่าน 13,644 ครั้ง |
เปิดอ่าน 22,127 ครั้ง |
เปิดอ่าน 32,101 ครั้ง |
|
|