หลายคนอาจเคยสงสัยว่าทำไม
เบี้ยประกันสำหรับเด็กจึงมีราคาสูงกว่าเบี้ยประกันของผู้ใหญ่ ทั้งที่เมื่อมองผิวเผินแล้ว เราอาจคิดว่าเด็กน่าจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าผู้ใหญ่ในแง่ของการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ แต่ความจริงแล้ว มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้เบี้ยประกันสำหรับเด็กมีราคาสูงกว่า
ระยะเวลาความคุ้มครองที่ยาวนานกว่า
ประการแรก เมื่อเราทำประกันให้เด็ก ระยะเวลาความคุ้มครองมักจะยาวนานกว่าการทำประกันให้ผู้ใหญ่ บริษัทประกันจะคำนวณเบี้ยประกันโดยคำนึงถึงระยะเวลาที่ต้องรับความเสี่ยง หากเป็นประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพสำหรับเด็กอายุ 5 ปี บริษัทประกันอาจต้องให้ความคุ้มครองไปอีกกว่า 70-80 ปี ในขณะที่การทำประกันให้ผู้ใหญ่อายุ 35 ปี ระยะเวลาความคุ้มครองจะสั้นกว่ามาก
ความเสี่ยงด้านสุขภาพในวัยเด็ก
แม้ว่าโดยทั่วไปเด็กจะมีสุขภาพดีกว่าผู้ใหญ่ แต่ในช่วงวัยเด็กโดยเฉพาะวัยทารกและเด็กเล็ก มีความเสี่ยงเฉพาะที่บริษัทประกันต้องพิจารณา เช่น โรคที่เกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิด ภาวะแทรกซ้อนจากการคลอด หรือโรคที่พบบ่อยในวัยเด็ก เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ ซึ่งอาจต้องการการรักษาต่อเนื่องในระยะยาว ส่งผลให้บริษัทประกันต้องตั้งเบี้ยประกันในอัตราที่สูงขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงเหล่านี้
ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสำหรับเด็ก
ค่ารักษาพยาบาลสำหรับเด็กมักมีราคาสูงกว่าผู้ใหญ่ในหลายกรณี เนื่องจากต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกุมารเวชศาสตร์ ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์เฉพาะสำหรับเด็ก รวมถึงการดูแลที่ละเอียดอ่อนมากกว่า บริษัทประกันจึงต้องคำนวณเบี้ยประกันให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การลงทุนระยะยาวของผู้ปกครอง
การทำประกันให้เด็กมักถูกมองว่าเป็นการลงทุนระยะยาว หลายกรมธรรม์จึงมีการรวมเอาองค์ประกอบการออมและการลงทุนเข้าไว้ด้วย เช่น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ซึ่งส่วนนี้จะทำให้เบี้ยประกันสูงขึ้น แต่ก็มีส่วนของเงินคืนในอนาคตหรือเงินปันผลที่ผู้เอาประกันจะได้รับ
ปัจจัยด้านการประเมินความเสี่ยงในระยะยาว
การคำนวณเบี้ยประกันสำหรับเด็กยังต้องคำนึงถึงความไม่แน่นอนในระยะยาว เช่น การเปลี่ยนแปลงของค่ารักษาพยาบาลในอนาคต อัตราเงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งยิ่งระยะเวลาความคุ้มครองยาวนานเท่าไร ความไม่แน่นอนยิ่งมีมากขึ้น บริษัทประกันจึงต้องตั้งเบี้ยประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงเหล่านี้ด้วย
การเลือกแผนประกันที่เหมาะสม
ผู้ปกครองควรพิจารณาความต้องการและความเหมาะสมก่อนตัดสินใจทำประกันให้บุตรหลาน แม้ว่าเบี้ยประกันอาจสูงกว่า แต่การเริ่มต้นทำประกันตั้งแต่วัยเด็กก็มีข้อดีหลายประการ ทั้งในแง่ของความคุ้มครองที่ครอบคลุม และโอกาสในการสะสมผลประโยชน์ในระยะยาว ควรเปรียบเทียบแผนประกันจากหลายบริษัท และเลือกแบบประกันที่ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด
ในท้ายที่สุด การตัดสินใจว่าควรทำประกันให้บุตรหลานหรือไม่ และควรเลือกแบบประกันใด ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเงินและเป้าหมายในการวางแผนการเงินของแต่ละครอบครัว ซึ่งแตกต่างกันไปตามสถานการณ์และความต้องการเฉพาะบุคคล