ใคร ๆ เขาก็เขียนถึงปู่เย็น ผมก็เลยอยากเขียนถึงบ้างครับ แม้ว่าเรื่องของปู่เย็นจะมีคนเขียนถึงมากแล้ว ซึ่งผมมักจะมีนิสัยที่ไม่ชอบเขียนเรื่องอะไรตามกระแสมากนัก แต่ครั้งนี้ทนไม่ไหวจริง ๆ ครับ ผมมานั่งนึก ๆ ดูว่า ทำไมหนอ...คนแก่ ๆ เพียงหนึ่งคน ที่ไม่ได้เป็น "ตัวจักร" หรือ "ฟันเฟือง" ขับเคลื่อนสังคมเลยแม้แต่น้อย...แม้แต่น้อยเลยทีเดียวนะครับ แต่คุณปู่ท่าน"ทรงอิทธิพล" ต่อความรู้สึกของผู้คนได้มากมายเสียเหลือเกิน เอาเป็นว่าผมเขียนในความรู้สึกและในมุมมองของผมก็แล้วกัน
ผมเองออกจะเป็นคนที่เชย ๆ ในบางเรื่อง นั่นคือไม่ได้ "อัพเดท" ข่าวสารอะไรฉับพลันทันทีนัก ตอนที่สังคมเขารู้จักปู่เย็นกันได้สักพัก จากรายการโทรทัศน์ที่มีคุณค่าอย่าง ฅนค้นฅน ผมก็ไม่ได้ดู มาดูเอาตอน ๒ พอดูแล้วก็ประทับใจจนเอาไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน ถึงได้ทราบว่าเขาออกอากาศตอนแรกไปแล้ว ตอนที่ผมดูเป็นตอนที่เอามาออกใหม่ ผมถึงกับอุทานในใจ "เสียดายที่ไม่ได้ดู"
จากนั้นเรื่องของปู่เย็นก็ดังเป็นพลุแตก ทำไมถึงดัง คงไม่ต้องบอกกันเพราะทุกคนคงทราบดีด้วยสัมผัสของตนเองอยู่แล้วนะครับ แต่สำหรับความคิดของผม ผมว่าคนอย่างปู่เย็น เป็นคนที่ใครเห็นก็ต้องประทับใจ เพราะคนรุ่นหลายรัชกาลอย่างแก ความคิดความอ่านย่อมไม่เหมือนคนอย่างปัจจุบัน ใครที่มีคุณย่าคุณยาย หรือมีความทรงจำในวัยเยาว์ถึงญาติผู้ใหญ่ คุณคงพอจะจำได้นะครับ ว่าคนสมัยก่อนมีความเกรงอกเกรงใจคนอย่างมากมายเพียงใด มันไม่ใช่เป็นเรื่องประหลาดเลยครับ ที่ปู่เย็นจะแสดงออกถึงความเป็นคนขี้เกรงใจคนอย่าง "มหาศาล" เพียงแต่ในปัจจุบัน เราไม่ได้รับความเกรงใจชนิดนี้กันจน "โหยหา" และอาจจะสะกิดต่อมสำนึกดีของหลาย ๆ คนออกมา
อีกประการหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะเป็นความอัศจรรย์ของชีวิต ที่ชายอายุร้อยกว่าปี ยังคงดิ้นรนชีวิตอย่างที่เขาให้ฉายาว่าเฒ่าทรนงนั้นแล มิหนำซ้ำ แกยังเต็มไปด้วยปรัชญาการดำรงชีวิต เป็นปรัชญาของคนที่ไม่ได้เรียนสูงอะไร และผมเชื่อว่าแกไม่ได้ตั้งใจพูดให้เป็นปรัชญา "บ้าบอคอแตก" อะไรหรอก แต่เป็นปรัชญาที่เกิดขึ้นเอง เกิดขึ้นจากชีวิตที่ไม่เบียดเบียนใคร ชีวิตที่รู้จักการทำหน้าที่ของตน แกถึงได้บอกว่าขออะไรใครไม่เป็น มันอาย...
และมนุษย์อย่างเรา ๆ มักจะอดสงสารเมื่อเห็นคนแก่ไม่ได้ แวบแรกทุกคนคงสงสัยว่า คนแก่ทั้งหลายรวมถึงปู่เย็นนั้น ลูกหลานไปไหน ทำไมจึงยังต้องลำบากลำบนหากินแบบนี้อีกเล่า ซึ่งเมื่อได้ฟังจากปากแกแล้วก็ยิ่งทึ่งในความคิดของปู่เข้าไปใหญ่ ความทรนงของปู่นั้น ไม่ได้เป็นความเย่อหยิ่งจองหอง ไม่ได้เป็นการฝืนเยาะหยันดวงชะตา แต่เป็นการน้อมรับรอคอยวาระสุดท้ายอย่างเงียบ ๆ "จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้" อายุอันยาวนานของปู่นั้น ยาวมากกว่าคู่ทุกข์คู่ใจหลายปีดีดักนัก จนต้องเสียน้ำตาไปเป็นเดือนกับการจากไปของสุดที่รักในชีวิต แล้วชีวิตที่เหลือเล่า คิดว่าเป็นลาภในชีวิต ? หรือเป็นความเงียบเหงาเดียวดาย ? เป็นทุกข์โศกบนเรือลำน้อยในแม่น้ำ ที่เคยโดนเด็กเอาก้อนหินปา และก็ล่มลงในที่สุด ก่อนถึงเวลาสุดท้ายเพียงไม่กี่วัน
น่าตกใจไหมกับการจากไปของปู่ แน่นอนครับ ถึงแม้ทุกคนจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าปู่นั้นอายุขัยเกินกว่าคนปรกติทั่วไปมามากโขแล้ว แต่ต่อให้แกอยู่จนถึง ๑๕๐ ปี เมื่อแกจากไป มีหรือใครจะไม่ตกใจและเสียใจ ผมเองนั้น เคยถึงขนาดเก็บไปฝัน ก็นานเป็นปีแล้วละครับ ตอนนั้นรู้สึกว่า เมื่อปู่กลายเป็นคนดัง แบบที่แกก็คงไม่อยากเป็น แกต้องต้อนรับคนมากหน้าหลายตา ที่คงสร้างความยุ่งยากใจ ในใจของคน "ขี้เกรงใจ" คนนี้ไม่มากก็น้อย แถมผมยังเคยเห็นหน่วยงานไหนก็ไม่รู้ พาแกออกไปตลอน ๆ พาไปขึ้นเวทีสัมภาษณ์ เห็นแล้วสงสารแทนแก ไอ้ผมเองเป็นหนุ่มอยู่ เวลาตากแดดแล้วไปเจอแอร์ แล้วออกมาตากแดดอีก พาลจะไข้จับเอาง่าย ๆ แล้วนี่กับชายชราอายุร้อยกว่าปี !!!
ผมเก็บไปฝันครับ ฝันว่าปู่เย็นตาย แต่จำไม่ได้ว่าในฝันแกตายเพราะเหตุใด แต่ทำนองว่าแกกรอบมาก ๆ แล้ว ส่วนในโลกจริง ๆ นั้น แกอายุยืนยาวกว่าความฝันของผมอีกมากมายนัก ผมมีวีซีดีเรื่องราวของแก จากรายการที่มีคุณค่ารายการนั้นเก็บเอาไว้ คงจะต้องนำออกมาดูอีกเร็ว ๆ นี้ ยังไม่ทันจะดู แต่แค่คิดก็น้ำตาจะไหลแล้วครับ เราไม่เคยรู้จักกันเลยนะครับปู่...แต่ผมน้ำตาไหลเพราะปู่หลายครั้งแล้วครับ
ก่อนหน้าการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ข่าวเรือล่มของแก เป็นเพียงข่าวเล็ก ๆ ในหนังสือพิมพ์ แกยังคงเป็นคนดังอยู่ ดังเพียงพอที่หนังสือพิมพ์จะเขียนถึง แต่ต่อไปจากนี้ หลังจากที่ล่วงลับไปแล้ว เราจะยังรำลึกถึงแกกันอีกนานขนาดไหน เราจะจดจำใบหน้าเหี่ยวย่น อ้าปากหวอ ไม่มีฟัน แต่สายตาแฝงแววดุดันแบบคนสู้ชีวิต เราจะจดจำกันนานแค่ไหน... แม้แต่ตัวผมเอง...จะจดจำได้นานแค่ไหน
ด้วยอาลัยรัก คนธรรมดาสามัญ ผู้มีคุณค่าแก่สังคม เมื่อคนมาเห็นค่าเอาบั้นปลาย...บั้นปลายเกือบที่สุด...ผู้ที่มีค่ามากกว่าคนมีการศึกษา หรือผู้ยิ่งใหญ่หลายคน...หลายคนรวมกันนัก...