เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา เปิดเผยว่า ตามที่ ที่ประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่มีว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการกพฐ. เป็นประธานเมื่อเร็ว ๆ นี้ มอบหมายให้ตนหารือกับอัยการ กรณีศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัย ว่าระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการหักเงินเดือนบำนาญข้าราชการเพื่อชำระหนี้เงินกู้ ให้แก่สวัสดิการภายในส่วนราชการและสหกรณ์ พ.ศ.2551ไม่ได้ประกาศราชกิจจานุเบกษา จึงไม่สามารถบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย เพื่อหาวิธีการหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้ของครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ไม่ขัดต่อกฎหมายนั้น ทั้งนี้ จากคำพิพากษาดังกล่าว เป็นผลให้ระเบียบศธ. ว่าด้วยการหักเงินเดือนฯ พ.ศ.2551 เหมือนไม่เคยมีผลบังคับใช้ เพราะไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
รองเลขาธิการกพฐ. กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ยังคงต้องดำเนินการ ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่กำหนดให้ส่วนราชการหักเงิน ณ ที่จ่ายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ จะต้องมีเงินเดือนสุทธิหลังหักจากหักชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าอัตราร้อยละ 30 จึงยังสามารถดำเนินการได้ เพียงแต่ต้องมีการเพิ่มเติมรายละเอียด ในเรื่องการเจรจา เพื่อให้ตรงไปตามกรอบวงเงิน ที่ต้องอิงกับระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จบำนาญ เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มและเงินอื่นในลักษณะเดียวกันของปี พ.ศ. 2550 ที่กำหนดไว้ว่า ในการเจรจาจะต้องให้เจ้าหนี้ทั้งหมดมาพิจารณาร่วมกันว่า การหักเงินเพื่อชำระหนี้ เกินกว่าวงเงินของเงินเดือนที่ผู้กู้ได้ใช้หรือไม่ เพราะฉะนั้น คำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ จึงถือเป็นข้อดี ที่ได้เพิ่มเติมการเจรจา กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ครู และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้หน่วยงานต้นสังกัด ไปสั่งการให้เป็นไปตามมติครม.ดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้นได้ส่งหนังสือเป็นข้อเสนอแนะไปแล้วส่วนหนึ่ง
“การหักเงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก็ยังคงต้องให้มีเงินเดือนเหลือใช้ในชีวิตประจำวันไม่น้อยกว่าร้อยละ30 เพียงแต่อาจจะต้องมีการเพิ่มเติมรายละเอียด ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยจะต้องดูข้อกฎหมายให้รัดกุม ส่วนระยะยาวเพื่อไม่ให้มีข้อโต้แย้งในเรื่องข้อกฎหมาย จากผลการพิพากษา ศาลปกครองสูงสุด ก็ได้มีข้อแนะนำว่า หากจะให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ก็จะต้องจัดทำเป็นกฎหมาย เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าว คงต้องให้มีความยืดหยุดตามสภาพเศรษฐกิจ ปัจจุบันเงินเหลือหักจากการชำระหนี้ร้อยละ30 ก็ถือเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก บางคนพอใช้ เพราะมีอาชีพเสริมรองรับและไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ขณะที่บางคนก็อาจจะยังไม่เพียงพอ”รองเลขาธิการกพฐ. กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามหากจะจัดทำเป็นกฎหมาย จะมีผลบังคับใช้เฉพาะในส่วนของศธ. เท่านั้น ส่วนหน่วยงานอื่นก็อาจใช้แนวทางดำเนินการตามศธ.ได้ หรือจัดทำกฎหมายเฉพาะของตนเอง ซึ่งผู้บริหารศธ. และผู้บริหารสพฐ.ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือ อยากให้ครูและบุคลากรทางการศึกษามีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถดำเนินการตามนโยบาย เรียนดี มีความสุข ขณะเดียวกัน พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็วางแนวทางแก้ปัญหาที่ต้นเหตุโดยการจัดอบรม ให้ความรู้เรื่องวินัยทางการเงิน ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมจำนวนมาก
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก FOCUSNEWS วันที่ 4 กันยายน 2567