รมช.ศึกษาธิการ ถกปรับโครงสร้าง สพท. ทำทันทีช่วยกลุ่มบุคลากร 38 ค เตรียมหารือ ก.พ. ขออัตรากำลัง พร้อมแก้ระเบียบ ศธ. ปมปัญหางาน ศธจ. และ สพท.
เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังประชุมเชิงปฏิบัติการการทบทวนโครงสร้างและแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ว่า ตนได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ให้มารับฟังข้อเสนอ ของการปรับโครงสร้างสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานั้นอะไรที่เป็นปัญหาเราต้องรีบแก้ไข เพื่อประโยชน์และความสุขของผู้ทำงานทั้งนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็รับทราบปัญหาแะอยากให้การปรับแก้กฎหมายดำเนินการเสร็จสิ้นในรัฐบาลชุดนี้ รวมถึงนำเข้าไปปรับแก้ในชั้นกรรมาธิการการศึกษาด้วย ซึ่งประเด็นหลักที่หารือกันครั้งนี้ คือ เรื่องอัตรากำลังที่ขาดแคลนและความก้าวหน้าในวิชาชีพ โดยเราจะปรับแก้ไขอัตรากำลังให้ โดยจะทำข้อมูลเสนอสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.ร.) เพื่อขอเกลี่ยอัตรากำลังด้วยการแปลอัตราเกษียณในส่วนของครูผู้สอนมาเป็นตำแหน่งกลุ่มบุคลากร 38 ค รวมถึงจะนำข้อเสนอในการปรับแก้ระเบียบ ศธ. ที่เกี่ยวข้องไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคด้วย เพื่อให้สำนักงานปลัด ศธ. และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้วางแผนการแก้ปัญหาร่วมกัน
ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จิดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สิ่งที่กังวลมีหลายข้อเช่นกรอบอัตรากำลังบุคลากรที่มีจำนวนน้อยมากแต่ขณะที่ภาระงานเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากที่ผ่านมา โครงสร้างของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) มีอยู่ 175 เขต ต่อมามีการปรับเพิ่มเขตพื้นที่การศึกษาให้จัดตั้งเพิ่มอีก 10 เขตพื้นที่ เป็น 185 เขตพื้นที่ ซึ่งในที่สุดก็มีการปรับเพิ่มเขตพื้นที่อีก 40 เขตพื้นที่ เป็น 225 เขตพื้นที่ทุกวันนี้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้คือที่มาของปัญหา เนื่องจากโครงสร้างเพิ่มแต่อัตรากำลังกลับไม่เพิ่มตามไปด้วย ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานาน อีกทั้งเมื่อมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2560 เรื่องการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาค ให้มีการตั้งศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) และศึกษาธิการภาค (ศธภ.) จนดึงอัตรากำลังของเขตพื้นที่ตามไปด้วย แต่ต่อมามีการปรับแก้คำสั่ง คสช. ฉบับดังกล่าว ให้โอนงานบริหารบุคคลมาให้เขตพื้นที่ดำเนินการ ซึ่งเกิดปัญหาอัตรากำลังไม่ตามมาด้วย ส่งผลให้กลุ่มข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 38 ค (2) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา (สพป.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ทั่วประเทศ เกิดปัญหาในความก้าวหน้าวิชาชีพ เพราะระเบียบข้อกฎหมายระบุว่า ในการทำผลงานความก้าวหน้าจะต้องมีอัตรากำลังอยู่ภายในหน่วยงานจำนวนกี่คน อย่างไรก็ตาม ตนรับข้อเสนอมาปรับแก้ไขปัญหาให้ ซึ่งเรื่องใดที่แก้ไขได้โดยเลขาธิการ กพฐ. ตนจะทำทันที และเรื่องใดที่จะต้องเกี่ยวข้องกับอำนาจของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ตนจะนำหารือแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนต่อไป
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก เดลินิวส์ วันที่ 10 มิถุนายน 2567
เสมา 2 ร่วมหารือ สพฐ. เล็งปรับโครงสร้างเขตพื้นที่ พัฒนาคุณภาพบุคลากร
วันที่ 10 มิถุนายน 2567 นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) เป็นประธานในการประชุมเชิงปฏิบัติการทบทวนโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา พร้อมทั้งมอบนโยบายที่เกี่ยวข้อง โดยมี ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) นายสุรินทร์ มั่นประสงค์ ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. ผศ.ดร.อมลวรรณ วีระธรรมโม เลขาธิการคุรุสภา นายภูมิพัทธ เรืองแหล่ ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา นายนิพนธ์ เบญจกุล ผู้แทนเลขาธิการ ก.ค.ศ. นายนิยม ไผ่โสภา ผอ.สพม.กรุงเทพมหานคร เขต 1 รวมถึงผู้แทนจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ทั้ง 10 กลุ่ม และบุคลากรของ สพฐ. ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสิ้น 70 คน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 2 โรงเรียนราชวินิตมัธยม กรุงเทพฯ
นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล กล่าวว่า วันนี้ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. ให้มารับฟังข้อเสนอของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญ ในการขับเคลื่อน ส่งเสริม สนับสนุน ประสานงาน กำกับดูแล ติดตามและประเมินผลสถานศึกษาในสังกัด ให้สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ เป็นโช่ข้อกลางที่เชื่อมโยงนโยบายจากกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปสู่สถานศึกษา และขับเคลื่อนนโยบายการจัดการศึกษาในเชิงพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ เกิดคุณภาพแก่ผู้เรียน โดยเป้าหมายสำคัญในการมีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา คือการบริหารจัดการระบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้ และเมื่อนโยบายสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว นั่นหมายความว่า การพัฒนาการศึกษาของ ศธ. สามารถพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน ดังนั้น การบริหารจัดการเพื่อให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นองค์กรคุณภาพ จึงเป็นกลไกหลักในการปรับรูปแบบวิธีการทำงานให้ทันสมัย เพื่อก้าวไปสู่แนวนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม บุคลากรในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ต้องได้รับการพัฒนาตนเอง เพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ความเป็นผู้นำ เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงต้องเป็นที่พึ่งให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาด้วย
“ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างเขตพื้นที่ฯนั้น หากพบปัญหาเกิดขึ้นเราต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว เพื่อประโยชน์สุขของผู้ปฏิบัติงานทั้งนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็รับทราบปัญหาและต้องการให้การปรับแก้กฎหมายดำเนินการเสร็จสิ้นในรัฐบาลชุดนี้ รวมถึงนำเข้าไปปรับแก้ในชั้นกรรมาธิการการศึกษาด้วย ซึ่งประเด็นหลักที่หารือกันครั้งนี้ คือ เรื่องอัตรากำลังที่ขาดแคลนและความก้าวหน้าในวิชาชีพ โดยเราจะปรับแก้ไขอัตรากำลังให้ โดยจะทำข้อมูลเสนอสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.ร.) เพื่อขอเกลี่ยอัตรากำลังด้วยการแปรอัตราเกษียณในส่วนของครูผู้สอนมาเป็นตำแหน่งกลุ่มบุคลากร 38 ค (2) รวมถึงจะนำข้อเสนอในการปรับแก้ระเบียบ ศธ. ที่เกี่ยวข้องไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของ ศธ. ในภูมิภาคด้วย เพื่อให้สำนักงานปลัด ศธ. และ สพฐ. ได้วางแผนการแก้ปัญหาร่วมกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกฝ่าย” รมช.ศธ. กล่าว
ด้านว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา กล่าวว่า ตามที่พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จัดระเบียบราชการกระทรวงศึกษาธิการไว้ 3 ระดับ คือ ส่วนกลาง เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา โดยในระดับเขตพื้นที่การศึกษา แบ่งออกเป็น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 183 เขต สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา 62 เขต รวมทั้งสิ้น 245 เขต ซึ่งในแต่ละสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา แบ่งส่วนราชการภายในเป็น 10 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอำนวยการ กลุ่มนโยบายและแผน กลุ่มส่งเสริมการศึกษาทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กลุ่มบริหารงานการเงินและสินทรัพย์ กลุ่มบริหารงานบุคคล กลุ่มพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา หน่วยตรวจสอบภายใน และกลุ่มกฎหมายและคดี แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาดังกล่าว ยังมีปัญหาอุปสรรคบางประการที่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและความก้าวหน้าทางวิชาชีพของบุคลากร ทั้งนี้ สพฐ. จึงได้จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้น เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในการทบทวนโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตลอดจนแนวทางการจัดกรอบอัตรากำลังที่เหมาะสม เพื่อประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนภารกิจการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และให้การแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สอดรับกับการปฏิบัติงานจริง นำไปสู่การขับเคลื่อนนโยบาย “เรียนดี มีความสุข” ที่มีประสิทธิภาพต่อไป
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก ศูนย์สารนิเทศการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ. วันที่ 10 มิถุนายน 2567