แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยถึงนโยบาย “ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ” ว่า ขณะนี้วงในรัฐบาลกำลังพิจารณาแนวทางการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ โดยมีการพูดคุยกันว่าจะปรับเพิ่มขึ้นทุกคนไม่เท่ากัน โดยจะเน้นกลุ่มข้าราชการชั้นผู้น้อย อาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่ากลุ่มอื่น แต่ทั้งหมดนั้นคงต้องมีการหารือกันอีกครั้งเพื่อให้ได้ข้อสรุป
ทั้งนี้เหตุผลของการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ โดยเน้นข้าราชการชั้นผู้น้อย เป็นผลมาจากข้อจำกัดของงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการปรับขึ้นเงินเดือน เพราะถ้าขึ้นทั้งระบบจะต้องใช้งบประมาณสูงไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท หากจะพิจารณาปรับเพิ่มเงินเดือนในสัดส่วนที่เท่า ๆ กันทั้งระบบตั้งแต่ข้าราชการชั้นผู้น้อย ไปจนถึงข้าราชการระดับสูง
“สัดส่วนการปรับขึ้นถ้าจะคิดเป็นฐานเดียวกัน เช่นถ้าปรับขึ้น 5% หรือ 10% ถ้าขึ้นเหมือน ๆ กันจะส่งผลกระทบกับงบประมาณจำนวนมาก เพราะนอกจากเงินเดือนแล้ว ยังส่งผลไปถึงรายจ่ายเรื่องของเงินบำเหน็จบำนาญของข้าราชการอีกด้วย ดังนั้นจึงมีแนวคิดว่าจะปรับขึ้นให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยมากหน่อย และระดับสูงอาจได้แค่เล็กน้อยถือเป็นการเสียสละเพื่อข้าราชการชั้นผู้น้อยได้มีรายได้ไปเลี่ยงครอบครัวมากขึ้น” แหล่งข่าวระบุ
อย่างไรก็ตามในการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ครั้งนี้ จะสามารถปรับขึ้นไปได้ตามเป้าหมายของพรรคเพื่อไทย ที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ คือ เงินเดือนปริญญาตรีเดือนละ 25,000 บาท หรือไม่ ตอนนี้รัฐบาลก็ต้องกลับมาดูถึงภาระต่าง ๆ ให้ดี ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดน่าจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้
ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูล จำนวนข้าราชการไทย ล่าสุด หลังจากคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ได้เสนอให้ที่ประชุมครม. พิจารณา เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ ปี 2566 – 2570 พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการจ้างงานในส่วนของกำลังคนภาครัฐ รวมกว่า 3 ล้านคน แบ่งเป็น
- ข้าราชการ จำนวน 1.75 ล้านคน
- ประเภทอื่นที่ไม่ใช่ข้าราชการ (พนักงานจ้าง พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานกระทรวงสาธารณสุข พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานองค์การมหาชน) จำนวน 1.24 ล้านคน
สำหรับโครงสร้างวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2567 กำหนดกรอบวงเงินเอาไว้รวม 3.48 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายจ่ายประจำ ซึ่งรวมถึงเงินเดือนข้าราชการ และเงินเดือนลูกจ้าง เอาไว้ ภายใต้กรอบวงเงินรวม 2.61 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 75.28% ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณก่อน 2.17 แสนล้านบาท
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2566