สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ที่มีปัญหามีบุตรยาก หากอยากรู้ว่าการทำเด็กหลอดแก้วต้องทำอะไรบ้าง ขั้นตอนในการทำมีกี่ขั้นตอน แพทย์จะทำอะไรกับร่างกายของคุณพ่อคุณแม่บ้าง บทความนี้ก็จะนำข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการทำแบบเน้นๆ มาฝาก เพื่อให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การทำเด็กหลอดแก้วไม่ได้น่ากลัว หรือเป็นสิ่งที่น่ากังวลอะไร อีกทั้งยังอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ดังนี้
ทำความรู้จักกับการทำเด็กหลอดแก้ว
ก่อนอื่นมาไปทำความรู้จักกันสักนิดหน่อย ว่าการทำเด็กหลอดแก้วคืออะไร การทำเด็กหลอดแก้ว คือการทำให้เกิดการปฏิสนธิ ซึ่งจะไม่ใช่การปฏิสนธิโดยธรรมชาติ ด้วยปัญหาทางร่างกายของคู่สมรส ที่ทำให้เซลล์สืบพันธุ์ไม่ทำการปฏิสนธิกัน จึงต้องหันมาทำเด็กหลอดแก้ว ที่ช่วยให้เกิดการปฏิสนธิได้สำเร็จ ซึ่งจะกระทำโดยแพทย์เฉพาะทาง โดยในการทำเด็กหลอดแก้ว หลักๆ จะมี 2 วิธีก็คือการทำ IVF และการทำ ICSI
1.กระตุ้นไข่
ขั้นตอนแรกสำหรับการทำเด็กหลอดแก้ว แพทย์จะทำการกระตุ้นไข่ด้วยการฉีดฮอร์โมนในวันที่ 2 หรือ 3 ของรอบเดือน เพื่อเร่งให้เซลล์ไข่เจริญเติบโต โดยในขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะไข่ที่ได้จะต้องมีคุณภาพมากพอ ที่จะสามารถเกิดการปฏิสนธิได้ ซึ่งในการปฏิบัติตัวของคุณแม่ ก็มีผลต่อไข่ที่จะได้จากการตกไข่
โดยคุณแม่จะต้องเข้ารับการฉีดยาให้ครบจำนวนตามที่แพทย์สั่งและตรงเวลา และจะต้องไม่เครียด งดการออกกำลังกายทุกชนิด รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน เน้นโปรตีนมากๆ ข้อแนะนำคือควรรับประทานไข่โดยเฉพาะไข่ขาวให้ได้วันละ 3 ฟอง เพื่อช่วยให้ไข่ที่ได้มีความสมบูรณ์ ระหว่างการกระตุ้นไข่แพทย์จะติดตามการเจริญเติบโตของเซลล์ไข่ด้วยการอัลตราซาวด์ เมื่อไข่มีคุณสมบัติตามต้องการแพทย์จะทำการเก็บไข่ตามลำดับ
2.เก็บไข่
เมื่อได้เซลล์ไข่ที่สมบูรณ์แล้ว แพทย์จะทำการเก็บไข่ภายในห้องผ่าตัด โดยจะให้ยาสลบอ่อนๆ กับคุณแม่ และทำการเก็บไข่ด้วยเข็มเก็บไข่ ซึ่งจะแทงผนังช่องคลอดพร้อมกับดูอัลตราซาวด์ เพื่อดูแนวของเข็มที่จะเจาะและดูดไข่ออกมา ผลข้างเคียงหลังจากแพทย์ทำการเก็บไข่ คือคุณแม่ที่ถูกเก็บไข่จะปวดท้องน้อยเป็นเวลา 1-2 วัน
ขั้นตอนการเก็บไข่ จะคล้ายกันทั้งการทำเด็กหลอดแก้วแบบ IVF และ ICSI โดยในการทำ IVF จะเก็บไข่ออกมาเพื่อทำการปฏิสนธิกับอสุจิ โดยปล่อยให้เกิดการผสมกันเอง ส่วนการทำเด็กหลอดแก้วแบบ ICSI จะเก็บไข่ออกมา และทำการฉีดเซลล์อสุจิเข้าไปผสมกับไข่โดยตรง
3.เก็บอสุจิ
ขั้นตอนต่อมาคือการเก็บอสุจิ คุณพ่อที่เข้ารับการทำเด็กหลอดแก้ว จะเป็นผู้เก็บด้วยตัวเอง โดยการสำเร็จความใคร่เพื่อนำเชื้ออสุจิใส่ภาชนะที่ทางคลินิกผู้มีบุตรยากจัดไว้ให้ จากนั้นนำเชื้ออสุจิที่เก็บได้ ส่งไปในห้องปฏิบัติการภายใน 1 ชั่วโมง เมื่อเชื้ออสุจิถูกนำส่งไปยังห้องปฏิบัติการแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการเตรียมน้ำอสุจิ เพื่อเตรียมผสมกับเซลล์ไข่ต่อไป
4.คัดแยกอสุจิ
ลำดับถัดมา หลังจากได้เชื้ออสุจิมาแล้ว จะต้องทำการคัดแยก โดยขั้นตอนนี้จะเป็นการคัดแยกเชื้ออสุจิที่มีความสมบูรณ์ เพื่อนำไปผสมกับเซลล์ไข่ ซึ่งขั้นตอนนี้จะแตกต่างกันระหว่างการทำ IVF และการทำ ICSI โดยในการทำ IVF จะคัดเลือกอสุจิเพื่อนำไปผสมกับเซลล์ไข่ในจานทดลอง และปล่อยให้เซลล์ไข่และเชื้ออสุจิผสมกันเอง แต่ถ้าหากเป็นการทำ ICSI จะทำการคัดเลือกอสุจิ เพื่อนำไปผสมกับเซลล์ไข่ โดยการฉีดเข้าไปผสมกับไข่โดยตรง
5.เพาะเลี้ยงตัวอ่อน
หลังจากที่เซลล์ไข่และเชื้ออสุจิผสมกัน จะเข้าสู่ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงตัวอ่อน ซึ่งจะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยระหว่างการทำ IVF และการทำ ICSI จะแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งการทำ IVF จะเพาะเลี้ยงในจานทดลองจนกระทั่งเจริญเป็นตัวอ่อน ซึ่งแพทย์ก็จะติดตามผลของการเจริญนั้น ส่วนการทำ ICSI หลังจากไข่ได้รับการผสมแล้ว จะถูกนำไปเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติเช่นกัน และแพทย์จะติดตามผลจนกว่าจะเจริญเป็นตัวอ่อนเช่นกัน ใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน แต่ระหว่างนั้นสามารถตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมได้ ซึ่งเป็นข้อดีของการทำ ICSI
6.ย้ายตัวอ่อนเข้าไปในโพรงมดลูก
หลังจากการเพาะเลี้ยงตัวอ่อน และผ่านการติดตามผลอย่างใกล้ชิด เพื่อดูการเจริญเติบโต เมื่อตัวอ่อนเติบโตจนเหมาะสมแล้ว แพทย์จะทำการย้ายตัวอ่อนไปไว้ในโพรงมดลูก เหมือนกันทั้งการทำ IVF และการทำ ICSI เพื่อให้ตัวอ่อนเจริญในครรภ์มารดาต่อไป ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งเป็นการทำให้เกิดการปฏิสนธิโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กระทั่งปฏิสนธิและกลายเป็นตัวอ่อน ก็จะเข้าสู่การตั้งครรภ์ของคุณแม่ตามลำดับ ตัวอ่อนจะเจริญเติบโตในครรภ์มารดาเหมือนกับการตั้งครรภ์ทั่วไป ซึ่งคุณแม่ก็ต้องปฏิบัติตามหลักการของคุณแม่ตั้งครรภ์ทั่วไปเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ก็เป็นขั้นตอนของการทำเด็กหลอดแก้ว ที่ดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยแก้ปัญหาผู้มีบุตรยากจากสาเหตุต่างๆ ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำเด็กหลอดแก้วก็อาจไม่ได้ตอบโจทย์ต่อปัญหาทั้งหมดของการมีบุตรยาก เพราะสุดท้ายแล้วหลังการทำเด็กหลอดแก้ว ต้องมีการนำตัวอ่อนกลับเข้าไปเจริญเติบโตที่โพรงมดลูก หากคุณแม่มีปัญหาในเรื่องของมดลูกที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ก็จะทำให้การทำเด็กหลอดแก้วไม่ตอบโจทย์