เมื่อวันที่ 16 ม.ค. น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...ว่า ขณะนี้การจัดทำร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว อยู่ระหว่างการประชุมร่วมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยที่ผ่านมามาตราสำคัญต่างๆ ศธ.ได้ให้ข้อสังเกตใน 4 ประเด็น คือ
1. การจัดการศึกษาโดยผู้ปกครอง (Home School) ในมาตรา 13 ควรให้ ศธ.ส่งเสริม สนับสนุน กำกับ ติดตาม ประเมินผล ตามที่คณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติกำหนด เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เรียนให้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ
2.ให้สถานศึกษาเป็นนิติบุคคล ในมาตรา 20 ควรให้สถานศึกษาเฉพาะสังกัด ศธ.เป็นนิติบุคคล เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาของรัฐในแต่ละสังกัด
3.การสรรหาและคุณสมบัติของผู้บริหารสถานศึกษา ในมาตรา 40 นั้น ผู้บริหารสถานศึกษานอกจากเคยเป็นครูและรองผู้บริหารแล้ว ต้องมีความรู้เรื่องบริหารการศึกษา และให้คณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติเป็นผู้กำหนดแนวทางการสรรหาและพัฒนาผู้บริหาร เพื่อให้ได้ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีศักยภาพและไม่ทำให้เกิดภาระแก่คณะกรรมการสถานศึกษาเกินสมควร และ
4.ให้บุคลากรทางการศึกษาอื่นที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาได้รับเงินวิทยฐานะ ควรกำหนดให้ชัดเจนในมาตรา 41 เพื่อมีความชัดเจนว่าบุคลากรทางการศึกษาอื่นที่เคยได้รับเงินวิทยฐานะอยู่แล้วในปัจจุบันยังคงได้เงินวิทยฐานะเช่นเดิม
รมว.ศธ.กล่าวอีกว่า ประเด็นที่มีครูแต่งดำในวันครูเพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้นั้น ตนคิดว่าครูอาจมีความกังวลกับร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... ซึ่งต้องยอมรับว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวมีรายละเอียดจำนวนมากจึงอาจทำให้ครูและบุคลากรทางการศึกษามีความกังวลเกิดขึ้นได้
ส่วนประเด็นการคัดค้านกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมาจากปมการเมืองนั้น ตนไม่อยากให้คิดเช่นนั้น รู้แต่ว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับการศึกษาหลายประเด็น อีกทั้งที่ผ่านมา ศธ.ได้มีความเห็นและแจ้งให้มีการทบทวนประเด็นต่างๆ ที่อาจจะมีปัญหาในทางปฏิบัติไปยังผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ซึ่งตนก็อยากเห็นกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปการศึกษา.
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก ไทยรัฐ วันที่ 17 ม.ค. 2566