ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับต่างประเทศ


สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 24 พ.ย. 2565 เวลา 08:20 น. เปิดอ่าน : 4,170 ครั้ง
ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับต่างประเทศ

Advertisement

ถ้าเด็ก ๆ มองไปรอบ ๆ บ้านก็จะเห็นว่ามีบ้านอื่นๆ อยู่รอบบ้านของนักเรียน บ้านที่อยู่รอบ ๆ บ้านของเด็ก ๆ เราเรียกว่า เพื่อนบ้าน ประเทศของเราก็เหมือนบ้านที่จะต้องมีประเทศเพื่อนบ้านซึ่งอยู่รอบ ๆ ประเทศของเรา บางประเทศก็อยู่ใกล้ติดชายแดน บางประเทศก็อยูไกลออกไป เด็ก ๆ ต้องมีเพื่อนไม่เช่นนั้นก็จะเหงาและว้าเหว่ประเทศก็ต้องมีเพื่อนไม่เช่นนั้นจะโดดเดี่ยว ประเทศไทยไม่ได้มีแต่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้ ๆ ประเทศที่อยู่ห่างไกลก็เป็นเพื่อนกับประเทศไทยมากมาย เมื่อเป็นเพื่อนกันบางครั้งก็อยากทำอะไรคล้าย ๆ กัน บางครั้งก็แลกเปลี่ยนสิ่งของกันและกัน บางครั้งก็มีความเห็นแตกต่างกัน แต่ก็ยอมรับกันได้และยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเมื่อใครมีความทุกข์ก็ร่วมแสดงความเสียใจและช่วยเหลือกันเท่าที่จะทำได้

ประเทศที่เป็นเพื่อนกับประเทศไทยเหล่านี้ เราเรียกว่า ต่างประเทศ ซึ่งหมายถึง ประเทศต่าง ๆ ที่เป็นเพื่อนกับประเทศไทยนั่นเองต่างประเทศที่เป็นเพื่อนกับเรามานานและมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันตลอดมา คือ ประเทศอินเดียและจีน ประเทศอินเดียติดต่อกับประเทศไทยมานานมาก ซึ่งทำให้มีผลต่อวัฒนธรรมไทยในหลายด้านโดยเฉพาะพุทธศาสนา ภาษา วรรณคดี และกฎหมาย ตลอดจนประเพณีต่าง ๆ ซึ่งเรารับมาและยังคงมีอยู่ในประเทศเรามาตราบจนทุกวันนี้ สำหรับประเทศจีนนั้นโดยมากการติดต่อกันจะเป็นในด้านการค้าขาย คนจีนเป็นจำนวนมากได้ย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศไทยจนกลายเป็นคนไทยเชื้อสายจีนและประกอบอาชีพค้าขายแต่ยังคงมีขนบธรรมเนียมประเพณีแบบจีนซึ่งคนจีนเหล่านี้ยอมรับนับถือและปฏิบัติเรื่อยมาเป็นประเพณีสืบต่อมาจนกระทั่งปัจจุบันเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นประเทศไทยก็ยังมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับเปอร์เซียหรืออิหร่าน ลังกา เขมร พม่า มอญ และในปัจจุบันก็ขยายออกไปสู่ประเทศอื่น ๆ ที่ไกลออกไป เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรป วัฒนธรรมของต่างประเทศจึงเข้ามาแพร่หลายในบ้านเรามากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคนไทยก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยไว้ได้เพราะคนไทยมีคุณลักษณะพิเศษ คือ มีความยืดหยุ่นและมีความสามารถปรับตัวสูงวัฒนธรรมต่างชาติจึงไม่สามารถครอบงำหรือมีอิทธิพลต่อไทยจนวัฒนธรรมไทยหมดความสำคัญหากมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดมา

 

 

 

ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญจากสภาพที่ตั้งและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์จนดินแดนบางส่วนได้รับการขนานนามว่า "สุวรรณภูมิ" หรือแดนทองซึ่งหมายถึง ดินแดนที่มีค่ามหาศาลเปรียบเหมือนทอง ประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในยุโรปสมัยหนึ่งจึงพากันแสวงหาเส้นทางเดินเรือมาสู่ดินแดนแห่งนี้ บ้างก็มาเพื่อติดต่อค้าขาย บ้างก็มาเพื่อยึดครองเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรตน เมื่อการค้าขายขยายตัวหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นอกจากจะเป็นตลาดการค้าที่สำคัญแล้วยังเป็นเส้นทางผ่านจากอินเดียไปยังจีน ความสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่ละยุคแต่ละสมัยในลักษณะต่าง ๆ ทำให้ภูมิภาคส่วนนี้รวมทั้งประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับต่างประเทศตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน วัฒนธรรมจากต่างแดนทั้งใกล้และไกลได้เข้ามาผสมผสานและมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ช่วงแรกวัฒนธรรมอินเดียและจีน จะมีความสำคัญมากซึ่งยังคงปรากฎอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ ต่อมาวัฒนธรรมจากยุโรปเข้ามามีอิทธิพลในประเทศไทยก็ยังมีให้เป็นอยู่เช่นเดียวกันและล่าสุดวัฒนธรรมของโลกอุตสาหกรรมโดยเฉพาะวัฒนธรรมอเมริกันและญี่ปุ่นเริ่มมีความสำคัญเด่นชัดขึ้นแต่คนไทยก็ยังสามารถผสมผสานและปรับวัฒนธรรมเหล่านั้นโดยผนวกความเป็นไทย ๆ เข้าไป ตามลักษณะเด่นของคนไทย คือ มีความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวสูง ประกอบกับมีคนไทยจำนวนมากที่ยังช่วยกันถนอมอนุรักษ์วัฒนธรรมอันดีงามซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษวัฒนธรรมไทยจึงยังคงมีความโดดเด่น และรุ่งเรืองตลอดมา

ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับอินเดียและจีน
ในบรรดาประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทย ประเทศอินเดียมีความสำคัญมากที่สุดและมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยในหลายด้านดังนี้

๑. ด้านศาสนา
ศาสนาจากอินเดียที่เผยแพร่เข้ามาก่อน คือ ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูซึ่งนับถือเทพเจ้าหลายองค์ เช่น พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ พระอินทร์ ต่อมาเมื่อพุทธศาสนารุ่งเรืองในอินเดียสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ. ๒๖๙-๓๑๑) ซึ่งได้ส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่พุทธศาสนาในหลายแห่งรวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระยะแรกพุทธศาสนาที่เข้ามาเป็นนิกายมหายานต่อมาในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้นิมนต์พระสงฆ์จากจังหวัดนครศรีธรรมราช (ชื่อเมืองเดิมว่า ตามพรลิงค์) ซึ่งเป็นพระนิกายเถรวาทและมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกมาสั่งสอนประชาชนทำให้พุทธศาสนานิกายนี้เป็นที่ยอมรับนับถือตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

๒. ด้านภาษาและวรรณคดี
เมื่อพุทธศาสนาแพร่หลายเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ภาษาบาลีก็แพร่หลายเข้ามาด้วยเพราะเป็นภาษาในพระไตรปิฎกพร้อม ๆ กับภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นภาษาของนักปราชญ์ในอินเดีย อิทธิพลของภาษาบาลีและสันสกฤตยังมีปรากฎในชื่อนามสกุลของคนไทยมาจนทุกวันนี้ ส่วนวรรณคดีที่แพร่หลาย คือ มหากาพย์ ๒ เรื่อง ได้แก่ รามายณะหรือรามเกียรติ์และมหาภารตะและนิทานชาดกต่าง ๆ

๓. ด้านกฎหมายและระบบการปกครอง
กฎหมายฉบับเดิมของไทยมีชื่อว่า กฎหมายตราสามดวง ดัดแปลงมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของอินเดีย นอกจากนั้นยังมคัมภีร์อรรถศาสตร์ซึ่งเป็นตำราทางด้านการปกครองราชนีติหรือความประพฤติของพระราชาและหลักทศพิธราชธรรมหรือธรรม ๑๐ ประการของพระราชาซึ่งล้วนแต่มาจากอินเดียและเข้ามามีส่วนในบทบัญญัติการปกครองของไทยตั้งแต่อดีต

๔. ด้านศิลปกรรม
ศิลปกรรมของอินเดียที่มีอิทธิพลต่อศิลปกรรมของไทยทั้งในด้านปฏิมากรรม ได้แก่ พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ ด้านสถาปัตยกรรม ได้แก่ เจดีย์ และด้านจิตรกรรม ได้แก่ ภาพฝาผนัง นอกนั้นอิทธิพลของเรื่องรามเกียรติ์ก็ทำให้นาฏศิลป์ของไทยรับนาฏศิลป์ของอินเดียมาบางส่วนดังปรากฏในการแต่งกายและท่าร่ายรำ

สำหรับความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับจีนนั้นจะเป็นในด้านการค้าขายเพราะไทยต้องการสินค้าของจีนทั้งที่นำมาใช้เองและขายต่อให้ต่างชาติ จีนมีการติดต่อกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลานานในสมัยสุโขทัยเมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ พวกมองดกลสามารถโค่นราชวงศ์ซ่งลงได้และเข้าครอบครองจีนจากนั้นได้ส่งทูตไปยังอาณาจักรต่าง ๆ เรียกร้องให้ส่งคณะทูตนำบรรณาการไปถวายพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเฝ้าติดตามดูเหตุการณ์อยู่ระยะหนึ่งทรงเล็งเห็นการณ์ไกลว่าควรจะสานไมตรีไว้จึงส่งคณะทูตนำบรรณาการไปถวาย จีนกับไทยจึงมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันมาในลักษณะรัฐบรรณาการตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนกระทั่งต้นรัชกาลที่ ๔ ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้จึงยุติลง

 นอกจากไทยจะมีความสัมพันธ์แบบรัฐบรรณาการกับจีนแล้ว คนจีนยังได้อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ไทยเรื่อยมา ระยะแรก ๆ มาเป็นการชั่วคราวแต่ระยะหลังตั้งแต่สมัยธนบุรีและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์คนจีนก็เริ่มลงหลักปักฐานตั้งรกรากในเมืองไทยและเข้ารับราชการกับทางการไทยมากขึ้นกอปรกับในระยะนั้นการค้ากับจีนเพิ่มปริมาณมากขึ้นวัฒนธรรมจีนจึงได้รับความนิยมไปด้วยไม่เฉพาะแต่ทางการค้าทางด้านศิลปะก็มีมากขึ้นซึ่งจะเห็นได้จากภาพจิตรกรรม การสร้างสวนหิน การประดับลวดลายด้วยเครื่องกระเบื้อง ตุ๊กตาจีน เก๋งจีน เป็นต้น ทางด้านวรรณคดีก็มีการแปลพงศาวดารจีนและวรรณคดีหลายเรื่องแต่เรื่องที่คนไทยรู้จักมากที่สุด คือ สามก๊ก

นอกจากไทยจะมีความสัมพันธ์กับอินเดียและจีนแล้วก็ยังมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับเปอร์เซีย หรืออิหร่าน ขอม (เขมร) พม่า มอญ ไทยมีการทำสงครามกับเขมรและพม่าหลายครั้งแต่กระนั้นก็รับวัฒนธรรมทางภาษา ศิลปะ สถาปัตยกรรม และนาฎศิลป์ของทั้งสองชาติเข้ามาผสมผสานกับของไทยซึ่งยังพอมองเห็นได้โดยเฉพาะด้านสถาปัตยกรรมและนาฏศิลป์ ตัวอย่างเช่น วัดทางภาคเหนือรับวัฒนธรรมจากพม่า โบราณสถานทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือรับวัฒนธรรมจากเขมร บทเพลงและท่าร่ายรำจากทั้งพม่าและเขมร เป็นต้น ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมนี้ยังดำเนินต่อมาแม้เมื่อชาติตะวันตกเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและมีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับไทยแล้วเพียงแต่ลดความสำคัญลงไปบ้าง

 

ความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรมกับชาติตะวันตก
ประเทศไทยเริ่มมีความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรมกับชาติตะวันตกตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๕๔ ซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ชาติที่เข้ามาติดต่อเป็นชาติแรก คือ โปรตุเกสซึ่งไม่เพียงแต่มาติดต่อค้าขายกับคนไทยในกรุงศรีอยุธยาเท่านั้นยังมีจุดมุ่งหมายที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมสำคัญ คือ คริสต์ศาสนา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ทรงมีพระทัยกว้างโดยทรงให้คนไทยมีเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนา มีการสร้างโบสถ์คริสต์และมีบาทหลวงคาทอลิกหลายคณะเข้ามาเผยแผ่ศาสนาแต่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเพราะคนไทย ลาว มอญ ญวน จีน ซึ่งอยู่ในกรุงศรีอยุธยาขณะนั้นยึดมั่นในพุทธศาสนาไม่สนใจศาสนาอื่น ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกเจริญสูงสุดคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสได้นำศิลปวิทยาการต่าง ๆ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมสำคัญ ๆ ของตะวันตกมาสู่สังคมไทย เช่น ระบบการศึกษาในโรงเรียน การแพทย์ สถาปัตยกรรม และวิชาภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ต่อมาสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับชาติตะวันตกเสื่อมลง ศิลปวิทยาการต่าง ๆ มิได้สืบทอดแพร่หลายในหมู่ราษฎรนอกจากคริสต์ศาสนาซึ่งยังเป็นที่ยอมรับเลื่อมใสในหมู่ชาวต่างชาติและชาวไทยบางส่วนตลอดมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตัวอย่างของวัฒนธรรมตะวันตกที่ปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ เทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง เช่น การต่อเรือ การสร้างป้อมปราการ การสร้างบ้านพักอาศัยโดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก การหล่อปืนใหญ่และการสร้างหอดูดาว

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์วัฒนธรรมตะวันตกได้แพร่หลายมากขึ้น รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้มิชชันนารีชาวยุโรปเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์เป็นครั้งแรก ต่อมาได้มีมิชชันนารีชาวอเมริกัน เช่น หมอบรัดเลย์ หมอสมิธ เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่วัฒนธรรมตะวันตกและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทยต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รับกาลที่ ๔) ทรงเปิดโรงเรียนขึ้นในพระบรมมหาราชวังและทรงจ้างผู้หญิงชาวอังกฤษมาสอน การเรียนภาษาอังกฤษจึงได้เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยได้มีสัมพันธไมตรีกับนานาชาติเพิ่มมากขึ้นประเทศอังกฤษได้ส่ง เซอร์ จอห์น บาวริง เป็นราชทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและได้ทำสนธิสัญญาชื่อว่า สนธิสัญญาบาวริง โดยอนุญาตให้ชาวต่างประเทศเข้ามาติดต่อค้าขายกับราษฎรโดยเสรี นอกจากสนธิสัญญาบาวริงแล้วไทยก็ได้ทำสนธิสัญญาทำนองเดียวกันนี้กับประเทศอื่นด้วย เนื่องจากสนธิสัญญานี้ทำให้ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมากขึ้นจำนวนมิชชันนารีทั้งจากนิกายคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ก็เพิ่มมากขึ้นและกระจายกันเผยแผ่ศาสนาทั้งในพระนครและหัวเมืองต่าง ๆ ทำให้วัฒนธรรมตะวันตกแพร่เข้าไปในชนบท นอกจากนี้พระองค์ท่านยังทรงปฏิรูปประเทศและสนับสนุนให้นำศิลปวิทยาการตะวันตกแขนงต่าง ๆ เข้ามาเผยแพร่โดยเฉพาะการศึกษา การแพทย์ การคมนาคม และการสื่อสาร เป็นต้น ทั้งยังทรงจ้างชาวต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาความเจริญด้านต่าง ๆ ได้พระราชทานเงินทุนให้นักเรียนไทยไปศึกษา ณ ต่างประเทศเพื่อนำความรู้และวิทยาการใหม่ ๆ มาช่วยสร้างความเจริญให้บ้านเมือง ด้วยเหตุนี้วัฒนธรรมตะวันตกจึงได้เข้ามาผสมผสานอยู่ในสังคมไทยแต่ยังไม่มากเท่าหลังปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ซึ่งเป็นปีที่ยกเลิกสนธิสัญญาบาวริงวัฒนธรรมตะวันตกเริ่มหลั่งไหลเข้ามาสู่สังคมไทยมากขึ้นและได้ผสมปนเปจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของสังคมไทยในปัจจุบัน

การเผยแพร่วัฒนธรรมตะวันตกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก่อน พ.ศ. ๒๔๘๐ ส่วนใหญ่เกิดจากความเห็นชอบและการสนับสนุนของรัฐบาลเนื่องจากได้พิจารณาแล้วว่าวัฒนธรรมเหล่านั้นล้วนมีส่วนช่วยพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ นอกจากนี้แล้วเจ้านายในพระราชวงศ์และขุนนางรวมทั้งนักเรียนไทยที่จบการศึกษาจากต่างประเทศเมื่อกลับสู่บ้านเมืองยังเป็นผู้นำในการรับวัฒนธรรมตะวันตกโดยเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอก เป็นต้นว่าการแต่งกาย การกีฬา นันทนาการ กลายเป็นความทันสมัยที่ผู้คนในสังคมถือเอาเป็นแบบอย่าง จึงกล่าวได้ว่า การรับวัฒนธรรมตะวันตกเกิดจากเหตุผล ๒ ประการ คือ เพื่อพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าและเพื่อความทันสมัยของผู้ประพฤติปฏิบัติ

ความสัมพันธ์กับต่างประเทศยุคอุตสาหกรรมใหม่
รูปแบบของวัฒนธรรมจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศในทวีปยุโรป อเมริกาหรือเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เป็นรูปแบบมาตรฐานของสังคมอุตสาหกรรมซึ่งมีแกนหลัก ๖ ประการ ดังนี้

๑. มีการกำหนดมาตรฐาน
เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น มาตรฐานสินค้า มาตรฐานค่าครองชีพ มาตรฐานการกำหนดตารางการทำงาน การเรียนและมาตรฐานของภาษาที่จะสื่อให้เข้าใจตรงกัน เป็นต้น เป็นการรวมทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ในกรอบเดียวกัน นับตั้งแต่วิถีการดำเนินชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนเข้านอน การประพฤติปฏิบัติตัวทั้งการแต่งกาย การทำงานและการพักผ่อน รวมทั้งกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ปรากฏให้เห็นในสภาพสังคมไทยมากขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่ประเทศไทยติดต่อกับประเทศอุตสาหกรรมนั่นเอง

๒. ส่งเสริมการผลิตผู้มีความชำนาญเฉพาะด้าน
เพื่อควบคุมและดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ตามความเชื่อที่ว่าผู้มีความเชี่ยวชาญย่อมสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความชำนาญเฉพาะด้านนี้อาจแยกย่อยออกไปได้อีก เช่น ในวงการแพทย์อาจแยกออกเป็นผู้ชำนาญเฉพาะอย่าง เป็นต้นว่า จักษุแพทย์ วิสัญญีแพทย์ ทันตแพทย์ ศัลยแพทย์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการศึกษาและฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ในปัจจุบันความต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมีมากมายจนบางสาขาวิชาผลิตบุคลากรไม่ทันการขยายตัวของแรงงาน โดยเฉพาะด้านวิศวกรรมและการจัดการซึ่งก็เป็นผลของความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของไทยกับต่างประเทศ

๓. สร้างความพร้อมเพรียง
เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีเวลาเป็นตัวกำหนดในการเริ่มทำงานและหยุดทำงานซึ่งแนวปฏิบัตินี้ก็เป็นผลมาจากการที่คนไทยได้แลกเปลี่ยนข้อคิดและแนวทางการทำงานกับชาวต่างประเทศ

๔. รวมหน่วยย่อยเข้าเป็นหน่วยใหญ่
เพื่อให้เกิดพลังงานมหาศาลซึ่งปรากฏมากในด้านประชากรและกระแสเงินทุน

๕. สร้างคุณค่าสูงสุดในสิ่งต่างๆ
เพื่อความภูมิใจเป็นค่านิยมที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจมนุษย์ในสังคมอุตสาหกรรมที่ชื่นชมกับความเป็นที่สุดในด้านต่าง ๆ เช่น ตึกสูงที่สุด แม่น้ำสายยาวที่สุด ขนมที่ใหญ่ที่สุด เป็นต้น ความเป็นที่สุดไม่ใช่เพียงสิ่งก่อสร้างหรือทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้นแต่รวมไปถึงความยิ่งใหญ่ทางธุรกิจด้วย เช่น จำนวนผู้เข้ามารับบริการ ปริมาณการจ้างพนักงาน จำนวนขอบข่ายสาขา เป็นต้น ประเทศไทยซึ่งได้หันมาพัฒนาอุตสาหกรรมตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๐ เป็นต้นมา ก็รับวัฒนธรรมความเป็นที่สุดมาจากประเทศอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่และวัฒนธรรมดังกล่าวนี้ก็ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากทุกฝ่ายทั้งจากคณะผู้บริหารประเทศและจากภาคธุรกิจต่าง ๆ

๖. สร้างศูนย์กลางของหน่วย
เพื่อควบคุมการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพและมีระบบอันเป็นวัฒนธรรมจากประเทศอุตสาหกรรมซึ่งประเทศไทยได้รับมา มี ๒ ลักษณะ คือ
๑. ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ โดยมีศูนย์กลางเป็นหน่วยงานแม่และมีเครือข่ายมากมายทั่วประเทศหรือทั่วโลกมีการแบ่งพนักงานเป็นระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับผู้บริหารสูงสุดลดหลั่นลงมาจนถึงระดับพนักงาน การติดต่อสั่งงานหรือเสนอความเห็นจะเป็นในรูปการสื่อสารเป็นทอด ๆ ขึ้นถึงระดับสูงและย้อนกลับลงมา วิธีการนี้ประเทศอุตสาหกรรมถือว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดสามารถดำเนินการต่าง ๆ ได้โดยรวดเร็วและผิดพลาดน้อย
๒. ศูนย์กลางทางการเมือง คล้ายคลึงกับศูนย์กลางเศรษฐกิจต่างกันในแง่ที่รวมสารนิเทศและคำสั่งไว้ที่ศูนย์กลางการปกครองซึ่งไทยใช้มาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอำนาจทุกอย่างอยู่ที่กรุงเทพฯ

ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของไทยกับต่างประเทศโดยส่วนใหญ่แล้วยังเป็นการรับอิทธิพลแนวความคิดและวิถีการดำรงชีวิตจากประเทศอุตสาหกรรมอื่น ๆ มาปรับและประยุกต์ใช้ในประเทศ จึงยังคงเป็นความสัมพันธ์ทางเดียวมากกว่า การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวไทยตามแนวของวัฒนธรรมตะวันตกนั้นมีทั้งผลดีและผลเสีย

ผลดี คือ ประชากรมีคุณภาพมากขึ้น จากการได้ศึกษาและดูงานในต่างประเทศ บ้านเมืองเกิดความเจริญรุ่งเรืองจากการนำความรู้และเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้โดยเฉพาะทางด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การคมนาคม และระบบเศรษฐกิจ ทั้งยังเป็นแนวทางในการพัฒนาโครงสร้างทางการเมืองการปกครองทำให้ประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองและยืนหยัดมาได้จนตราบเท่าทุกวันนี้

ผลเสีย คือ เกิดค่านิยมแนวใหม่ในหมู่คนไทยบางกลุ่มที่มองเห็นว่าวัฒนธรร ดั้งเดิมเป็นสิ่งคร่ำครึล้าสมัย วัฒนธรรมตะวันตกกลับเป็นสิ่งดีงามน่าชื่นชมมากกว่าค่านิยมนี้ทำให้เกิดการหลงผิด และดูถูกวัฒนธรรมของตนเองบางครั้งยังยึดค่านิยมผิด ๆ เช่น ยึดในวัตถุจนละเลยทางด้านจิตใจและคุณธรรม

อย่างไรก็ตามนับว่าเป็นโชคดีของชาติไทยที่ยังมีคนไทยอีกเป็นจำนวนมากที่พยายามรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้และในขณะเดียวกันก็นำความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ จากต่างประเทศมาปรับใช้ให้เกิดความเจริญและเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง

แหล่งข้อมูล
ข้อมูลจากหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน ฯ เล่ม 20 เรื่องที่ 2 ลิขสิทธิ์เป็นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 


ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับต่างประเทศ

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

ศาลปกครองคืออะไร

ศาลปกครองคืออะไร


เปิดอ่าน 25,092 ครั้ง
บทสวดอโหสิกรรม

บทสวดอโหสิกรรม


เปิดอ่าน 103,449 ครั้ง
พระลักษมี

พระลักษมี


เปิดอ่าน 18,220 ครั้ง
ความหมายของเครื่องในพิธี

ความหมายของเครื่องในพิธี


เปิดอ่าน 19,897 ครั้ง
"บึงกาฬ" จังหวัดที่ 77 ของไทย

"บึงกาฬ" จังหวัดที่ 77 ของไทย


เปิดอ่าน 28,926 ครั้ง
การถวายสังฆทาน

การถวายสังฆทาน


เปิดอ่าน 33,991 ครั้ง
เหรียญปราบฮ่อ

เหรียญปราบฮ่อ


เปิดอ่าน 19,495 ครั้ง

:: เรื่องปักหมุด ::

ย้อนรอยสายราชสกุล…ในพระบรมราชจักรีวงศ์ (จบ)

ย้อนรอยสายราชสกุล…ในพระบรมราชจักรีวงศ์ (จบ)

เปิดอ่าน 29,865 ☕ คลิกอ่านเลย

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
สงครามครูเสด
สงครามครูเสด
เปิดอ่าน 210,519 ☕ คลิกอ่านเลย

พระพุทธรูปในศิลปะไทยสมัยต่าง ๆ
พระพุทธรูปในศิลปะไทยสมัยต่าง ๆ
เปิดอ่าน 59,392 ☕ คลิกอ่านเลย

ความหมายของเครื่องในพิธี
ความหมายของเครื่องในพิธี
เปิดอ่าน 19,897 ☕ คลิกอ่านเลย

ความรู้เรื่องเมืองสยาม
ความรู้เรื่องเมืองสยาม
เปิดอ่าน 18,189 ☕ คลิกอ่านเลย

วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม วันพ่อ
วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม วันพ่อ
เปิดอ่าน 21,374 ☕ คลิกอ่านเลย

พระสยามเทวาธิราช
พระสยามเทวาธิราช
เปิดอ่าน 20,446 ☕ คลิกอ่านเลย

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

วันสิ่งแวดล้อมโลก กับ วิกฤติน้ำแล้ง - ขาดแคลนอาหาร (5 มิ.ย.)
วันสิ่งแวดล้อมโลก กับ วิกฤติน้ำแล้ง - ขาดแคลนอาหาร (5 มิ.ย.)
เปิดอ่าน 12,806 ครั้ง

5 สายอาชีพควรเรียน เป็นที่ต้องการในอีก 5 ปี
5 สายอาชีพควรเรียน เป็นที่ต้องการในอีก 5 ปี
เปิดอ่าน 83,611 ครั้ง

ลมเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ลมเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เปิดอ่าน 58,373 ครั้ง

10 วิธีช่วยให้ลูกเก่งคณิตศาสตร์
10 วิธีช่วยให้ลูกเก่งคณิตศาสตร์
เปิดอ่าน 83,617 ครั้ง

สมองเสื่อมหรือ... ขี้ลืมธรรมดาๆ
สมองเสื่อมหรือ... ขี้ลืมธรรมดาๆ
เปิดอ่าน 12,853 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ