ผ่านพ้นไปแล้วกับการประชุมชี้แจงการเปิดรับข้อเสนอโครงการเพื่อร่วมเป็นสถาบันผลิตและพัฒนาครู “โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น” รุ่นที่ 4ปีการศึกษา 2566 จัดโดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา ณ รร.ทีเค พาเลซ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ มุ่งพัฒนานวัตกรรมกระบวนการผลิตและพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลอย่างเป็นระบบ
และสร้างโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครูได้เรียนครูจนจบปริญญาตรี และได้รับการบรรจุเป็นครูคุณภาพสูงในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนเองทั้งหมดโดยมีเป้าหมายผลิตครูให้ได้จำนวน 1,500 คน ภายในระยะเวลา 9 ปี และเกิดการยกระดับการศึกษาและพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลมากกว่า 600 โรงเรียน
รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กสศ.กล่าวว่า ปัจจุบันระบบการผลิตครูของประเทศยังไม่ตอบสนองต่อปัญหาการขาดแคลนครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลอีกทั้งระบบการบรรจุครูของโรงเรียนในพื้นที่ทำให้ได้ครูที่ไม่ใช่คนท้องถิ่นมากถึงร้อยละ 80จนเกิดปัญหาครูย้ายออกจากโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลจำนวนมากส่งผลกระทบโดยตรงต่อโอกาสและคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนในโรงเรียนเหล่านี้
กสศ. จึงได้ดำเนิน โครงการ ครูรัก(ษ์)ถิ่น โดยร่วมกับ 6 หน่วยงานประกอบด้วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม (อว.), กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.), สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ. ), สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา พัฒนานวัตกรรมกระบวนการผลิตและพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลอย่างเป็นระบบ และช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครู ครูไม่ครบชั้น
รวมถึงพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลตามพื้นฐานและศักยภาพที่แตกต่างกันซึ่งจะนำไปสู่ข้อเสนอเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบและนโยบายสถาบันต้นแบบในการผลิตและพัฒนาครูของประเทศไทยที่มีอัตลักษณ์สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่และความต้องการของประเทศ โดยโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นมุ่งทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาต้นแบบที่ร่วมโครงการในลักษณะเครือข่าย ร่วมพัฒนาหลักสูตรสร้างครูรุ่นใหม่ที่มีอัตลักษณ์ สอดคล้องกับบริบทและความต้องการของชุมชนแต่ละภูมิภาค
Advertisement
และสร้างโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครูให้ได้เรียนครูจนจบปริญญาตรีและได้รับการบรรจุเป็นครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนเองทั้งหมด โดยนักศึกษาจะได้รับการบ่มเพาะให้เป็นครูของชุมชนที่มีคุณภาพสูงมีสมรรถนะทั้งทางวิชาการ และวิชาชีพ มีความสามารถพัฒนาผู้เรียนและชุมชนเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในโรงเรียนได้ถือเป็นการลงทุนแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ตรงจุดสอดคล้องกับปัญหาของประเทศ
“โครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินงานผลิตและพัฒนาครูตั้งแต่ปี 2563-2571 มีเป้าหมายผลิตครูให้ได้จำนวน 1,500 คน ปัจจุบันเป็นปีที่ 4 มีนักเรียนที่ได้รับโอกาสเข้าศึกษาต่อเข้าเรียนครูในสาขาประถมศึกษาและปฐมวัยรวมทั้งสิ้น 861 คน และมีเป้าหมายในการพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลจำนวน 696 แห่ง โดยมีสถาบันผลิตและพัฒนาครูเข้าร่วมโครงการจำนวน 16 สถาบัน” รศ.ดร.ดารณี กล่าว
ขณะที่ ผศ.ดร.อนุชา พิมศักดิ์ รองคณบดี คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 16 สถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมกับ กสศ. ในการพัฒนาครูรัก(ษ์)ถิ่นมาตั้งแต่เริ่มต้น กล่าวว่า ในอดีตการผลิตครูจะเป็นไปตามหลักสูตรของคุรุสภาแต่ในโครงการนี้เริ่มจากต้องปรับกระบวนการคิดและทำงานโดยเข้าไปค้นหาตัวเด็กแทนและต้องปรับหลักสูตรให้ตอบโจทย์กับพื้นที่ของชุมชน
โดยครูจะต้องมีทักษะการสอนที่หลากหลาย สามารถสอนได้ทุกระดับชั้นเพราะในพื้นที่ห่างไกลมีครูน้อย และหลักสูตรที่ได้พัฒนาร่วมกับ กสศ.นั้นยังมีความแตกต่างจากเดิมเพราะเกิดจากการลงพื้นที่สอบถามทางโรงเรียนและชุมชนว่าต้องการครูที่มีคุณสมบัติแบบไหนแล้วสถาบันก็จะพัฒนาครูให้มีทักษะตรงกับที่ชุมชนนั้นๆ ต้องการ โดยสิ่งที่แตกต่าง คือการเป็นครูของท้องถิ่นจากคนในท้องถิ่นจริงๆ มีทักษะในการเป็นนักพัฒนาชุมชน
“สภาพพื้นที่ในจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นภาคการเกษตรที่หลากหลาย ดังนั้น ครูรัก(ษ์)ถิ่น จึงต้องมีความรู้เรื่องการเกษตรที่ยั่งยืน มีความเข้าใจในศาสตร์ของพระราชา มีความรู้เรื่องหลักเศรษฐกิจพอเพียง มีทักษะการเกษตรที่สามารถประยุกต์ใช้ในท้องถิ่น และนำเข้าสู่ชุมชนและสร้างความเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนและชุมชนได้จริง” ผศ.ดร.อนุชา กล่าว
ทั้งนี้ โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ปีการศึกษา 2566 กำลังเปิดรับสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรีคณะครุศาสตร์หรือคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการประถมศึกษา หรือการศึกษาปฐมวัยและมีแนวคิดในการสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสรวมถึงส่งเสริมและพัฒนาครูให้มีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนพัฒนาเด็กและเยาวชนได้ตามพื้นฐานและศักยภาพที่แตกต่างกัน
โดยสามารถยื่นข้อเสนอโครงการผ่านระบบออนไลน์ได้ที่ www.eef.or.th
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก แนวหน้า วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2565