24 พ.ค.65-ที่Town Hall ชั้น 9 อาคารยูนิลีเวอร์ เฮาส์ – โดฟ สานต่อแคมเปญ #LetHerGrow เปิดเวทีเสวนาระดมความคิด ในหัวข้อ “Dove#LetHerGrow : สร้างอนาคตให้เด็กไทย เติบโตในแบบที่ดีที่สุดของตัวเอง” เพื่อรณรงค์ยุติกฎการลงโทษตัดผมนักเรียน ซึ่งกฎระเบียบเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบมากกว่าแค่ผมของนักเรียน แต่ยังส่งผลให้นักเรียนสูญเสียความมั่นใจในตนเอง
โดยนายนิพนธ์ ก้องเวหา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ผช.เลขาฯ กพฐ.) กล่าวถึงทิศทางและแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับกฎระเบียบในโรงเรียน ว่า ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยน โลกเปลี่ยน และแคมเปญที่โดฟทำถือเป็นเรื่องที่สร้างสรค์และสื่อสาร เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เห็นด้วยกับเรื่องสิทธิร่างกาย ทรงผม ทั้งนี้สถานศึกษาถือเป็นสังคมจำลอง ที่จะสร้างคนทำให้เขาได้ไปอยู่ในสังคมแห่งความเป็นจริงได้อย่างผาสุขภายใต้กฎเกณฑ์ เงื่อนไข และกติกา โดยในเรื่องของทรงผมนั้น กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ออกระเบียบ ศธ. ว่าด้วย ทรงผมของนักเรียน โดยมีเจตนารมณ์ให้การปฏิบัติตนของนักเรียนเป็นไปด้วยความถูกต้องและจะต้องดูเรื่องความถูกต้องรวมถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วย ดังนั้นกฎมีไม่กี่ข้อ ใจความคือการกระจายอำนาจให้แก่โรงเรียน และคณะกรรมการสถานศึกษา เพราะการศึกษาจะต้องลงถึงหน่วยปฏิบัติที่แท้จริง อีกทั้ง สพฐ.วิถีใหม่ วิถีคุณภาพ ตามนโยบายของ เลขาฯ กพฐ.นั้น โรงเรียนต้องรู้ว่าเด็กตัวเองต้องการอะไร และสิ่งใดที่ต้องปฏิบัติกับเด็ก และคณะกรรมการสถานศึกษา โดยทั้ง 2 ส่วนนี้เป็นผู้กำหนดทิศทางของสถานศึกษาตนเอง และกำหนด ว่า ทรงผมควรจะทำเช่นไร อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเรามีระเบียบ เรื่อง การลงโทษนักเรียน ศธ. ซึ่งสามารถทำได้ใน 4 เรื่อง คือ ว่ากล่าวตักเตือน ตัดคะแนนความประพฤติ ทำทัณฑ์บน และให้ทำกิจกรรม
“การที่มีครูของเราส่วนหนึ่งได้ทำโทษนักเรียนด้วยการตัดผมและเป็นกระแส เรื่องนี้ก็ทำให้ศักดิ์ศรีของความเป็นครูของเราลดลงเช่นกัน เพราะถือว่าเป็นครูส่วนหนึ่งที่มีจำนวนน้อยมาก โดยครูที่อายุเท่าผมถือเป็นครูยุคเบบี้บูมใกล้จะเกษียณอายุราชการ ถาพรวมของการเป็นครูในระยะเวลา 20-30 ปี เราอาจจะทำอะไรที่ผิดพลาด บกพร่องแต่เจตนาของความเป็นครูของเรา ก็คือ ความปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะต้องการเห็นลูกศิษย์ประสบความสำเร็จ เป็นคนดีของสังคม สพฐ.พยายามที่จะสื่อสารกับครูเหล่านี้ ว่า สิ่งที่เราทำนั้นผิดต่อทั้งตัวเด็กและผิดกฎหมาย สพฐ.ได้กำชับไปยังเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต ว่า หากมีครูที่ยังทำโทษเด็กด้วยการตัดผมให้ย้ายเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ที่เขตก่อน อีกทั้งนางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศธ.ก็เอาใจใส่เรื่องนี้มาก และเข้าใจในสิทธิความเป็นมนุษย์ และการที่โดฟเข้ามาจัดโครงการในครั้งนี้ถือเป็นการสร้างการตระหนักรู้ให้แก่สังคมเป็นอย่างดี”ผช.เลขาฯ กพฐ.กล่าว
ด้านนางสาวผกาฉัตร เตชาบูรพานนท์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายพัฒนาตลาด ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล กลุ่มบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าวว่า โดฟเริ่มแคมเปญ Dove#LetHerGrow : สร้างอนาคตให้เด็กไทย เติบโตในแบบที่ดีที่สุดของตัวเอง เพื่อต้องการให้เด็กเห็นคุณค่าของตัวเอง มีความมั่นใจ เพราะเราเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้จะส่งผลต่อศักยภาพในการเติบโตและสะท้อนให้เป็นผู้ใหญ่ที่มั่นใจในภายภาคหน้า และจากงานวิจัยพบนักเรียน 7 ใน 10 คน จะประสบปัญหาจากการทำโทษด้วยการตัดผมอยู่ จึงเป็นสื่อกลางจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิด เพื่อร่วมหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน
“มุมมองและความเห็นที่เกิดจากงานเสวนาในครั้งนี้ จะเป็นแนวทางในการช่วยให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคส่วนต่าง ๆ มองเห็นว่ากฎระเบียบดังกล่าวไม่ได้ลดทอนแค่ความยาวของเส้นผมของเด็กนักเรียน แต่ลดทอดความมั่นใจและตัวตนของพวกเขาอีกด้วยและในระยะยาว โดย โดฟ จะมีการขับเคลื่อนประเด็นนี้ อย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลา 3 ปี ผ่านกองทุน Growth Fund (เดอะ โกรธ์ ฟันด์) จำนวน 10,000,000 บาท เพื่อใช้ในงานศึกษาวิจัย การให้ความรู้ผ่านผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และการทำงานร่วมกับโรงเรียนและนักการศึกษา”
ด้านพญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น เจ้าของเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” ร่วมสนอมุมมอง ว่า ตนรู้สึกเห็นใจเด็กไทยจำนวนมาก ที่จะต้องอยู่ดับกฎระเบียบที่ส่งผลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งคำถามของแคมแปญนี้สำคัญ คือ ทำไมเรื่องทรงผมต้องเป็นเรื่องใหญ่ในสังคม และมีข่าวนักเรียนถูกกล้อนผมตลอดเวลา ทั้งที่การไปโรงเรียนควรที่จะได้ไปเรียนรู้ มีความสุขกับทักษะใหม่ แต่เด็กค้องไปโรงเรียนอย่างระแวดระวังอยู่กับกฎ อยู่กับการลงโทษและความจับผิด ซึ่งตนมองว่าไม่ใช่หน้าที่ของโรงเรียนที่เป็นสถานที่ให้ความเรียนรู้ และการที่บอกว่าทรงผมเป็นการฝึกวินัย ตนมองว่าไม่จริง เพราะการฝึกวินัยในโรงเรียนสามารถทำได้กับหลายๆ กิจกรรม เช่น การไม่พูดในห้องเรียน การเข้าเรียนและส่งการบ้านให้ตรงเวลา เป็นต้น ทรงผมไม่เกี่ยวกับการเรียนรู้แต่เกี่ยวข้องกับการเป็นตัวตนของคนๆนั้น และกฎกติกาเรื่องทรงผมก็เป็นการบังคับเด็กไม่มีทางเลือก
“สำหรับครูเรสต้องลุกขึ้นมาตั้งคำถามว่าทรงผม เกี่ยวข้องกับระเบียบวินัยจริงไหม เด็กรักความสวยงามไม่ตั้งใจเรียนจริงไหม และดิฉันขอฝากถึง ศธ. ซึ่งเข้าใจว่าความพยายามออกกฎให้มีความยืดหยุ่น แต่ ศธ.จะต้องชัดเจน ว่า ผมไม่เกี่ยวข้องอะไร ไม่ใช่โยนหน้าที่ให้โรงเรียนเป็นผู้ตัดใจและอำนาจก็จะตกไปอยู่ที่ครูเหมือนเดิม และดิฉันเชื่อว่าเสียงในสังคมสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมเสมอ อยากให้โรงเรียนกลับมาทบทวนว่าหน้าที่คืออะไร”กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่นกล่าว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก ไทยโพสต์ วันที่ 24 พฤษภาคม 2565