“รศ.ดร.ประวิต” อนุกรรมการปฏิรูปฯ การศึกษา เผยโจทย์พลิกโฉมการผลิตครู เน้น จัดสรรอัตรากำลังครู – คืนครูสู่ห้องเรียน เตรียมเข้าสู่ระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ตุลานี้
กรุงเทพฯ 21 เมษายน 2565 - รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ อนุกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ชี้โจทย์การปฏิรูปบุคลากรครูด้วยนโยบายสำคัญ ได้แก่
1.การจัดสรรอัตรากำลังครู เพื่อแก้ไขปัญหาการผลิตครูให้มีคุณภาพและมีจำนวนที่เหมาะสม
2.การออกหลักเกณฑ์การประเมินครูใหม่ ลดภาระด้านเอกสารการประเมิน และ
3.การออกหลักเกณฑ์สำหรับสายสนับสนุนครู ส่งเสริมให้ครูได้ใช้เวลาอยู่ในห้องเรียนมากขึ้น
โดยล่าสุด ศธ. ได้เปิดตัวระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล และระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล กลไกสำคัญที่จะเข้ามาช่วยลดความซ้ำซ้อนของงานให้กับครู ซึ่งจะเข้าสู่ระบบใหม่อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 นี้ ตอบโจทย์โลกดิจิทัลและส่งเสริมครูยุคใหม่ที่พร้อมเปิดรับนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ อนุกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า อุปสรรคของการผลิตและพัฒนาครูในปัจจุบันเป็นผลที่เกิดจากวิกฤตสองระลอกคือ การปรับตัวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ของโควิด-19 ทำให้ครูต้องปรับตัวและเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ขณะเดียวกันเด็กยุคนี้ก็เติบโตมากับโลกเสมือนจริง ไม่ได้ออกมาเผชิญโลกกว้างเท่าที่ควรจะเป็น เมื่อครูต้องปรับตัวด้วยการพัฒนาทักษะใหม่ จึงต้องมีการทบทวนการฝึกหัดครูใหม่ ส่งผลไปถึงเรื่องหลักสูตรและการประเมิน จากเดิมที่ผลิตครูเพื่อสอนในห้องเรียนมาเป็นการสอนรูปแบบออนไลน์ นอกจากนี้ยังพบปัญหาเชิงระบบ คือ ความต้องการครูและการผลิตครูในแต่ละปีมีจำนวนที่ไม่สมดุลกัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งหากลไกเพื่อเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้
รศ.ดร.ประวิต กล่าวเสริมว่า นโยบายที่เป็นคานงัดสำคัญในการแก้ปัญหาดังกล่าว ได้แก่
1.การจัดสรรอัตรากำลังของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะครูในโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ด้วยการวัดจากทั้งมิติเชิงปริมาณและคุณภาพ คำนวณเกณฑ์การจัดสรรจากจำนวนเด็กนักเรียน จำนวนครูที่เกษียณในแต่ละปี รวมถึงอัตราส่วนของครูต่อเด็กในแต่ละโรงเรียน
2.การออกหลักเกณฑ์การประเมินครูใหม่ ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดภาระด้านเอกสารการประเมิน และ
3.การออกหลักเกณฑ์สำหรับสายสนับสนุนครู ที่กำหนดให้ทุกโรงเรียนต้องมี เป็นส่วนที่จะเข้ามาช่วยลดภาระนอกเหนือจากการสอนในห้องเรียน เช่น งานธุรการ เพื่อให้ครูได้มีเวลาจดจ่อกับการสอนและการดูแลเด็กๆ ในห้องเรียนมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เราได้ออกแบบกรอบนโยบายไว้และเตรียมส่งต่อให้หน่วยปฏิบัติได้ดำเนินงานต่อไป
ปัจจุบัน คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ได้ขับเคลื่อนการปฏิรูประบบการผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพ โดยมีกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รับผิดชอบในส่วนของการผลิต และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รับผิดชอบในส่วนของการพัฒนา โดยล่าสุดได้เปิดตัวระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management System) หรือระบบ HRMS และระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal) หรือระบบ DPA นี้ ซึ่งทั้งสองระบบนี้จะเชื่อมโยงข้อมูลครูทั่วประเทศให้สามารถใช้งานได้ทั้งด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการประเมินวิทยฐานะ โดยจะเข้าสู่ระบบใหม่อย่างเต็มรูปแบบในเดือนตุลาคม 2565 ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการระบบบริหารงานบุคคลให้มีความสะดวก รวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อนของงาน ลดงานเอกสาร รวมถึงลดงบประมาณ เพื่อให้ครูได้ใช้เวลาอยู่ในห้องเรียนและพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ออกเกณฑ์อัตรากำลังในระยะ 10 ปี ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานร่วมกับสถาบันผลิตครูทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการผลิตครูให้มีคุณภาพและมีจำนวนที่เหมาะสม สมดุลกับความต้องการครูในปัจจุบัน
“แม้เราจะพบว่ามีครูกลุ่มที่มีทักษะในการเรียนรู้สูง พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ เพื่อนำไปพัฒนากระบวนการเรียนการสอน แต่กฎเกณฑ์เก่าๆ ยังเป็นสิ่งที่ปิดกั้นและเหนี่ยวรั้งครูเอาไว้ เป็นโจทย์ที่เราต้องช่วยกันปลดออก ทั้งการลดภาระที่เกินจำเป็นเพื่อคืนครูสู่ห้องเรียน การปรับเปลี่ยนหลักสูตรให้ยืดหยุ่นในสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อให้ครูมีอิสระในการตัดสินใจมากขึ้น รวมถึงหน่วยปฏิบัติต้องมีผู้บริหารที่กล้าตัดสินใจและมีความรู้ความเชี่ยวชาญกับเรื่องที่กำลังดำเนินงาน เพื่อส่งต่อแรงขับเคลื่อนและสามารถสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับทั้งครู ผู้ปกครอง และนักเรียนที่อาจเกิดความกังวลจากการปรับตัวสู่ ความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ได้” รศ.ดร.ประวิต กล่าวทิ้งท้าย