Advertisement
รศ. ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ขานรับยุทธศาสตร์ชาติ เดินหน้าป้องกันเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา หรือ บิ๊กร็อกที่ 1 ผ่านการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูล “iSEE” ของ กสศ. เป็นกลไกสำคัญช่วยค้นหา ติดตาม และให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส โดยครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากกว่า 4 ล้านคน ทั้งนี้ ยังพบว่าการนำเด็กกลับเข้าระบบมีอัตราผลตอบแทนของการลงทุน (IRR) สูงอยู่ที่ประมาณร้อยละ 9 ซึ่งตอบโจทย์การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เพื่อหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง อย่างไรก็ตามการปฏิรูปการศึกษาต้องใช้เวลาหลายปี และยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน เพื่อเป้าหมายการยกระดับคุณภาพการศึกษาที่ยั่งยืนในระยะยาวต่อไป
รศ. ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เปิดเผยว่า คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาได้กำหนดกรอบนโยบายการปฏิรูปการศึกษา โดยตระหนักถึงความสำคัญของเด็กและเยาวชนเป็นอันดับแรก เนื่องจากเด็กคือทรัพยากรที่จะเติบโตไปเป็นกำลังคนคุณภาพของประเทศ จึงถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าและต้องได้รับการพัฒนาทักษะที่เหมาะสมตามช่วงวัยอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวจะสามารถบรรลุได้ จำเป็นต้องเร่งดำเนินการผ่านกิจกรรมปฏิรูป 5 บิ๊กร็อก ภายใต้แผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา โดยเฉพาะการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัย และป้องกันเด็กเยาวชนออกจากระบบการศึกษา หรือ บิ๊กร็อกที่ 1 ซึ่งสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมที่ให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในทุกมิติ รวมทั้งการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้ก้าวออกจากกับดักรายได้ปานกลางสู่การเป็นประเทศรายได้สูง
ปัจจุบันเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษาในระยะยาว ประกอบด้วย 1.ฐานข้อมูลของกลุ่มเด็กและเยาวชนเป้าหมาย 2.ระบบสารสนเทศเกี่ยวกับครอบครัว อาชีพ และรายได้ 3.ระบบการช่วยเหลือดูแล และส่งต่อกลุ่มเป้าหมายให้ได้รับการช่วยเหลือในขั้นต่อไป และ 4.การสร้างสิ่งแวดล้อมทางการศึกษาเพื่อให้เด็กอยากกลับเข้ามาเรียนอีกครั้ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ฐานข้อมูล” ซึ่งเป็นต้นทางในการติดตามและให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด โดยปัจจุบันมีการเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Information System for Equitable Education) หรือ iSEE ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) รายบุคคล ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาสมากกว่า 4 ล้านคน ช่วยค้นหา คัดกรองเด็กและเยาวชนทั้งในและนอกระบบอย่างละเอียด อาทิ รายได้ของผู้ปกครอง สถานะครัวเรือน สภาพปัญหา ไปจนถึงอัตราการมาเรียนและผลการเรียน ช่วยให้มองเห็นปัญหาและติดตามสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างชัดเจน และเชื่อมโยงข้อมูลไปยังหน่วยงานต่างๆ เพื่อขยายผลการช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส และร่วมสร้างโอกาสให้สามารถเข้าถึงการศึกษาและได้กลับมาเรียนอีกครั้งอย่างที่ควรจะเป็น
รศ. ดร.วรากรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นผลพวงมาจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ปัญหาเด็กและเยาวชนหลุดออกจากระบบล้วนมีสาเหตุจากอุปสรรคด้านความยากจน แม้ว่าจะมีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีค่าใช้จ่ายทางการศึกษาอื่นๆ อีกมาก ทำให้ผู้ปกครองไม่มีเงินส่งบุตรหลานเรียน บางครอบครัวอาจเห็นว่าการไปโรงเรียนไม่สำคัญเท่ากับการทำงานหาเงิน รวมทั้งไม่มีการชี้แนะจากสังคมว่าการศึกษาภาคบังคับมีความจำเป็นและมีส่วนช่วยให้พ้นจากความยากจนได้อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้จากข้อมูลของ กสศ. ยังชี้ให้เห็นว่าการนำเด็กยากจนพิเศษเข้าสู่ระบบการศึกษามีอัตราผลตอบแทนของการลงทุน (IRR) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 9 ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตที่มีความคุ้มค่ามาก ตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ต้องการหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพในอนาคต
“การปฏิรูปการศึกษาไม่ใช่ภาระหน้าที่ของหน่วยงานใดเพียงหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนทั้งชาติ และการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน โดยเฉพาะความคิดเห็นและทัศนคติที่ตรงกันว่าคุณภาพของระบบการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องได้รับการพัฒนา รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ต้องเร่งแก้ไข โดยที่ผ่านมา คณะกรรมการปฏิรูปฯ ด้านการศึกษาได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากรัฐบาลในการติดตามให้คำแนะนำ ความร่วมมือจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการร่วมยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย ทำให้สามารถดำเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาและมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปการศึกษาไม่สามารถสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น และยังต้องการความร่วมมือจากทุกหน่วยงานเพื่อบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาวต่อไป” รศ. ดร.วรากรณ์ กล่าวทิ้งท้าย
Advertisement
เปิดอ่าน 8,453 ครั้ง เปิดอ่าน 3,553 ครั้ง เปิดอ่าน 5,807 ครั้ง เปิดอ่าน 15,802 ครั้ง เปิดอ่าน 6,046 ครั้ง เปิดอ่าน 5,171 ครั้ง เปิดอ่าน 13,252 ครั้ง เปิดอ่าน 16,340 ครั้ง เปิดอ่าน 3,695 ครั้ง เปิดอ่าน 21,017 ครั้ง เปิดอ่าน 5,628 ครั้ง เปิดอ่าน 11,879 ครั้ง เปิดอ่าน 5,520 ครั้ง เปิดอ่าน 11,743 ครั้ง เปิดอ่าน 9,538 ครั้ง เปิดอ่าน 26,658 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 3,553 ☕ 26 มี.ค. 2567 |
เปิดอ่าน 1,219 ☕ 27 มี.ค. 2567 |
เปิดอ่าน 383 ☕ 27 มี.ค. 2567 |
เปิดอ่าน 3,553 ☕ 26 มี.ค. 2567 |
เปิดอ่าน 5,520 ☕ 26 มี.ค. 2567 |
เปิดอ่าน 6,856 ☕ 26 มี.ค. 2567 |
เปิดอ่าน 831 ☕ 26 มี.ค. 2567 |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 10,651 ครั้ง |
เปิดอ่าน 21,471 ครั้ง |
เปิดอ่าน 21,152 ครั้ง |
เปิดอ่าน 32,899 ครั้ง |
เปิดอ่าน 15,121 ครั้ง |
|
|