สรุปผลการสำรวจ "เสมาโพล" ความคิดเห็นต่อการฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนอายุ 5-11 ปี ผู้ปกครองมีความต้องการให้บุตรหลานไปฉีดวัคซีน ร้อยละ 58.6 และ ร้อยละ 45.7 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจว่าการฉีดวัคซีนให้นักเรียนอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี จะทำให้บุตรหลานกลับไปเรียนได้ตามปกติ
เมื่อวันที่ 19 ก.พ. นายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะผู้อำนวยการเสมาโพล เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนที่มีอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่นักเรียนและหวังให้กลับมาดำเนินชีวิตตามปกติสุขได้โดยเร็วที่สุด กระทรวงศึกษาธิการ โดย “เสมาโพล” จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีบุตรหลานวัยเรียนในช่วงอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี เพื่อให้รัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา นำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนกำหนดนโยบาย/มาตรการ แนวทางการติดตามประเมินผล และการสร้างความเข้าใจให้กับผู้ปกครองนักเรียนในการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่และทำให้สถานศึกษาเป็นที่ปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่สุดสำหรับนักเรียน
การสำรวจครั้งนี้ สอบถามประชาชนที่มีบุตรหลานวัยเรียนในช่วงอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี ทุกจังหวัด ทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 26,793 หน่วยตัวอย่าง โดยอาศัยแผนการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) และเก็บรวบรวมข้อมูลในรูปแบบการสำรวจออนไลน์ ระหว่างวันที่ 14-18 กุมภาพันธ์ 2565 จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครองต่อประเด็น เรื่อง “การฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนที่มีอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี” พบว่า ความต้องการให้บุตรหลานไปฉีดวัคซีน : ผู้ปกครองส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.6 ระบุว่า ต้องการให้บุตรหลานไปฉีดวัคซีน รองลงมา ร้อยละ 22.6 ระบุว่า ไม่ต้องการให้บุตรหลานไปฉีดวัคซีน และร้อยละ 18.8 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ
รองงปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้สิ่งที่เป็นห่วงหรือกังวลที่สุดเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้กับบุตรหลาน : ผู้ปกครองส่วนใหญ่ ร้อยละ 65.1 ระบุว่า มีความกังวลเกี่ยวกับอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน รองลงมา ร้อยละ 17.5 ระบุว่า มีความกังวลเกี่ยวกับความรับผิดชอบ กรณีนักเรียนมีอาการผิดปกติ ร้อยละ 7.0 ระบุว่า มีความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน ร้อยละ 4.9 ระบุว่า มีความกังวลเกี่ยวกับความพร้อมด้านร่างกายของบุตรหลานก่อนฉีดวัคซีน/บุตรหลานมีสุขภาพไม่แข็งแรง ร้อยละ 0.3 ระบุว่า มีความกังวลเกี่ยวกับความยุ่งยากซับซ้อนของขั้นตอนการเข้ารับบริการฉีดวัคซีน ส่วนผู้ปกครองร้อยละ 5.2 ระบุว่า ไม่มีข้อกังวล ความต้องการด้านสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 : ผู้ปกครองที่มีความต้องการให้บุตรหลานฉีดวัคซีนโควิด-19 ส่วนใหญ่ ร้อยละ 60.8 ระบุว่า ต้องการให้ฉีดวัคซีนที่โรงเรียน รองลงมา ร้อยละ 29.1 ระบุว่า ต้องการให้ฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาล และร้อยละ 10.1 ระบุว่า ต้องการให้ฉีดวัคซีน ณ ศูนย์บริการหรือหน่วยบริการ ความต้องการด้านวิธีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 : ผู้ปกครองส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.8 ระบุว่า ต้องการให้ใช้วิธีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในนักเรียนด้วยการตรวจน้ำลาย รองลงมา ร้อยละ 23.9 ระบุว่า ต้องการให้ใช้วิธีการแยงจมูก (Swab) ร้อยละ 2.2 ระบุว่า ต้องการให้ใช้วิธีการตรวจเลือด และร้อยละ 2.1 ระบุว่า ไม่ต้องการให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19
ความเชื่อมั่นต่อนโยบายฉีดวัคซีนให้นักเรียนอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี เพื่อให้สามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติ : ผู้ปกครองส่วนใหญ่ ร้อยละ 45.7 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจว่าการฉีดวัคซีนให้นักเรียนอายุ 5 – ไม่เกิน 12 ปี จะทำให้บุตรหลานสามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติ รองลงมา ร้อยละ 34.0 ระบุว่า เชื่อมั่นว่าการฉีดวัคซีนจะทำให้บุตรหลานสามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติ ส่วนร้อยละ 20.3 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นว่าการฉีดวัคซีนจะทำให้บุตรหลานสามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติ
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 77.2 เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตภาคกลาง ร้อยละ 8.5 เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตภาคเหนือ ร้อยละ 7.5 เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตภาคใต้ ร้อยละ 2.8 เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 2.2
เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตภาคตะวันออก และร้อยละ 1.8 เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร
ตัวอย่างร้อยละ 31.4 ประกอบอาชีพค้าขาย/ประกอบธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 26.9 ประกอบอาชีพพนักงาน/ลูกจ้างเอกชน ร้อยละ 15.4 ประกอบอาชีพข้าราชการ/พนักงานราชการ/ลูกจ้างของรัฐ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 10.6 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ขับรถรับจ้าง/กรรมกร ร้อยละ 8.6 ประกอบอาชีพเกษตรกร และร้อยละ 7.1 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/ว่างงาน ตัวอย่างร้อยละ 68.0 เป็นผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในความดูแลรับผิดชอบ จำนวน 1 คน ร้อยละ 27.6 มีบุตรหลานในความดูแลรับผิดชอบ จำนวน 2 คน ร้อยละ 3.3 มีบุตรหลานในความดูแลรับผิดชอบ จำนวน 3 คน และร้อยละ 1.1 มีบุตรหลานในความดูแลรับผิดชอบ จำนวนมากกว่า 3 คน ขึ้นไป
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก เดลินิวส์ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2565