ทุกวันนี้ในสถานที่ทำงาน ไม่ได้มีคนเพียงเจเนอเรชันเดียว หากแต่เป็นการคละกันระหว่างเจเนอเรชันไปแล้ว ตั้งแต่ Baby Bommer, เจเนอเรชัน X, เจเนอเรชัน Y และยังมีเจเนอเรชัน Z เข้ามาร่วมวงด้วย ทำให้การทำงานทุกวันนี้ หลายออฟฟิศมีความขัดแย้งเพราะความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เนื่องจากเติบโตมาในสภาพสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน คนที่เหนื่อยที่สุดเห็นจะเป็นหัวหน้างาน หรือเจ้าของกิจการที่ต้องคอยดูแลหรือบริหารให้พนักงานอยู่ ในกรอบของการทำงานที่ต้องการ ซึ่งจะมีวิธีการเช่นใดนั้นมาติดตามกัน
ทำความเข้าใจว่า แต่ละเจเนอเรชันนั้น มีลักษณะเฉพาะตัวอะไรบ้าง
1. Silent Generation เกิดระหว่างปี 1925-1945
คนรุ่นนี้อายุน้อยที่สุดอยู่ที่ ประมาณ 57 ปี เป็นคนรุ่นที่สามารถเข้ากันได้ กับคนทุกเจเนอเรชัน แต่ไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง
2. Generaion X เกิดระหว่างปี 1965-1980
คนรุ่นนี้อายุน้อยที่สุดคือ 41 ปี เป็นกลุ่มที่รักเสรีและชอบความสันโดษ
3. Millennials เกิดระหว่างปี 1981-2000
คนรุ่นนี้อายุน้อยที่สุดคือ 21 ปี เป็นกลุ่มคนที่ชอบขับเคลื่อนสังคม และรักษาสิทธิของตนเอง
4. Generation Z เกิดระหว่างปี 2001-2020
คนรุ่นนี้เริ่มเข้าสู่ การทำงานแล้ว เพราะกลุ่มหัวที่อยู่ในวัย 20 ปี เป็นกลุ่มคนที่ต้องการก้าวไปข้างหน้า และไม่เชื่อเรื่องความภักดีต่อองค์กร
ปรับทัศนคติของแต่ละเจเนอเรชันด้วยการมอบหมายความรับชอบที่เหมาะสม
ถ้าพิจารณาให้ละเอียด จะพบว่าแต่ละเจเนอเรชันนั้นจะมีทัศนคติหรือค่านิยมทางความคิดเป็นของตนเอง เมื่อจะทำให้ทุกเจเนอเรชันทำงานร่วมกันให้ได้ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าความเชื่อของคนแต่ละรุ่นนั้นมี จุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร เป็นการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า แต่ละเจเนอเรชันนั้นต่างเติ บโตในสภาวการณ์และห้วงเวลาที่แตกต่างกัน
ดังนั้น วิธีคิดหรือทัศนคติของคนแต่ละรุ่นย่อมไม่เหมือนกัน เมื่อต้องทำงานร่วมกันกับคนในหลายเจเนอเรชัน คนเป็นหัวหน้างานควรเข้าใจพนักงานโดยไม่อิงอคติ จากนั้นมอบหมายงานที่เหมาะสมกับพวกเขา และพยายามที่จะพูดคุยกันเพื่อทำลายกำแพงของความแตกต่างให้ ได้มากที่สุด
การสื่อสารสำคัญต่อคนในทุกเจเนอเรชัน และถ้าคุณเป็นหัวหน้าก็ควรเปิดรับความคิดเห็นของทุกคน
จากข้อแรกของการทำความเข้าใจทัศนคติ วิธีคิด และการเติบโตที่แตกต่างกัน สิ่งที่ควรทำต่อมาคือการสื่อสารอย่างเปิดเผยต่อคนในทุกเจเนอเรชัน แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณในฐานะหัวหน้างานจะต้องเห็นด้ วยไปเสียทุกเรื่อง เรื่องที่คุณไม่เห็นด้วยก็ สามารถนำมาถกเถียงกันได้ เพียงแต่ต้องใช้เหตุผลประกอบไม่ ตัดสินด้วยอารมณ์
ไม่ก้าวล่วงและให้ ความเคารพในสิทธิและความเป็นมนุษย์ที่มีเท่ากัน
หลายครั้งที่สังคมออฟฟิศ ทำให้พนักงานหลายคนอึดอั ดใจเพราะรู้สึกว่าตนเองถูกใช้ตลอดเวลา ด้วยความแตกต่างเรื่องเพศและวัย ถ้าคุณเป็นหัวหน้างานและต้องดูแลพนักงานเพื่อให้ทำงานให้อย่างเต็มที่ ควรจะต้องตระหนักเรื่องนี้ให้มาก หากคุณเป็นผู้ชายและมีลูกน้องเป็นผู้หญิง และมองว่าผู้หญิงไม่สามารถทำงานที่ท้าทายได้ และเก็บพวกเธอเอาไว้เพื่อทำงานเอกสาร แบบนี้จะสร้างความรู้สึกแบ่งแยกขึ้นมา
เช่นเดียวกับหัวหน้าผู้หญิงที่ใช้ลูกน้องผู้ชายทำงานหนักอยู่คนเดียว และไม่ได้แบ่งงานให้เท่ากันกับลูกน้องผู้หญิง ความรู้สึกแบ่งแยกย่อมเกิดขึ้นได้ รวมไปถึงการให้ทีมงานที่เด็กที่สุดในทีมไปชงกาแฟ ซื้อเครื่องดื่มให้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง
การเคารพในสิทธิที่มนุษย์ทุกคนพึงมีนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ทั้งคนที่อายุ มากและอายุน้อยอยู่ด้วยกันด้วยทัศนคติเป็นเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่การลำดับอาวุโสในที่ทำงาน
อย่าเล่นเกมคนโปรด เพื่อทำให้ทีมงานรู้สึกอยากทำงานมากขึ้น
มีหัวหน้างานจำนวนมากที่จะทำท่าโปรดปรานพนักงานคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ เพื่อให้ทีมงานรู้สึกอิจฉาและพากันขยันขันแข็งในการทำงาน ถามว่าวิธีนี้ช่วยให้ได้ งานมากขึ้นกว่าเดิมไหม คำตอบคือ ได้ในระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นปัญหาจะตามมาเป็นพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ภายในทีม ที่ต่างคนต่างแข็งขันกันไม่มี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เหนืออื่นใดคนในแต่ละเจเนอเรชันต่างก็มีทัศนคติต่อวิธีการดังกล่าวแตกต่างกันไป บางเจเนอเรชันที่รับไม่ได้ สามารถลาออกได้ทันที ดังนั้น ถ้าคุณจะเป็นหัวหน้างาน การดูแลลูกน้องให้เท่าเทียมกันและทำให้ทีมเป็นหนึ่งเดียว ดีกว่าแข่งขันกันภายในจะทำให้ระยะยาวคุณได้ทีมงานที่สร้างงานได้อย่างมีประสิทธิ ภาพมากกว่า
ขอบคุณเนื้อหาจาก สนุก.คอม