รมว.ศึกษาธิการ ถก งานผู้ตรวจราชการศธ. จี้ ให้เกาะติดนโยบายการศึกษาทุกสัปดาห์ มุ่งเป้าสร้างโรงเรียนคุณภาพและลดความเหลื่อมล้ำ เผย ที่ผ่านมาระดับพื้นที่ยังขาดความเข้าใจในการปฎิบัติ
เมื่อวันที่ 24 ม.ค. น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ตนได้ประชุมผู้ตรวจราชการของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยได้มอบนโยบายและแนวทางการตรวจราชการในประเด็นหลัก ได้แก่ ปักหมุด นำนักเรียนไทย กลับสู่ห้องเรียน ค้นหาและติดตามเด็กตกหล่นและออกกลางคันกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ให้ได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพและศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งสร้างระบบเครือข่ายการส่งต่อข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษาของเด็กตกหล่นและออกกลางคันที่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และนำไปใช้ในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเก็บตกเด็กผู้ที่พลาดโอกาสทางการศึกษา และหลุดจากระบบการศึกษาได้กลับเข้ามาเรียนในระบบการศึกษาที่มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมกรการอาชีวศึกษา (สอศ.) หารือกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อส่งต่อเด็กที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ เนื่องจากปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะครอบครัวได้รับผลกระทบเกี่ยวกับรายได้และค่าครองชีพ เพื่อเข้าเรียนต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ในโครงการอาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ
รมว.ศึกษาธิการ นอกจากนี้ยังมีการดำเนินงานเรื่องโรงเรียนคุณภาพ ซึ่งเป้าหมายของการดำเนินการโรงเรียนคุณภาพคือการสร้างโรงเรียนเครือข่าย โดยจะมาจัดทำแผนที่โรงเรียนในจังหวัดว่ามีโรงเรียนประถมศึกษากี่แห่งและโรงเรียนมัธยมศึกษาอีกที่แห่งที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อนำมาควบรวมสร้างเป็นโรงเรียนคุณภาพอย่างน้อย 1 โรงเรียนขึ้นไป ซึ่งจะเติมการศึกษาอย่างครบวงจรให้โรงเรียนที่ยกระดับขึ้นเป็นโรงเรียนคุณภาพ ซึ่งแต่นโยบายดังกล่าวของตนจะมีตัวชี้วัดอะไรบ้าง ดังนั้นจึงเป็นโจทย์ที่ผู้ตรวจราชการจะต้องไปดำเนินการตรวจติดตามตามนี้ เพื่อสะท้อนปัญหานโยบายต่างๆเดินหน้าสำเร็จหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมามีเสียงสะท้อนว่านโยบายที่สั่งการลงไปจากส่วนกลางระดับพื้นที่ที่เป็นฝ่ายปฎิบัติยังขาดความเข้าใจในนโยบาย อย่างไรก็ตามจากนี้ไปบทบาทของผู้ตรวจราชการ ศธ. จะต้องงานอย่างหนักและนำนโยบายที่ตนสั่งการลงไปมารายงานให้ตนรับทราบทุกๆสองสัปดาห์ว่าสิ่งที่ลงไปติดตามตนจะต้องแก้ไขหรือปรับปรุงอะไรเพิ่มเติมหรือไม่.
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก เดลินิวส์ วันที่ 24 มกราคม 2565