“เปิดภาคเรียน” 1 พฤศจิกายน นี้ ค่อนข้างแน่นอน ล่าสุด ดร.กมล รอดคล้าย อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(อดีตเลขาธิการกพฐ.)ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์) ฉายภาพการเรียนช่วงโควิดและการเตรียมพร้อมรับปิดเทอม2 ผ่านบทความในหัวข้อ "เตรียมพร้อมเปิดภาคเรียน : ดร.กมล รอดคล้าย" เอาไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง
วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นหมุดหมายสำคัญอีกวันหนึ่งของประเทศ ในการเปิดภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2564 ในความเป็นจริงการเปิดภาคเรียนได้ดำเนินการมาแล้วในภาคเรียนที่ 1 หากแต่รูปแบบการจัดการเรียนการสอน เน้นไปที่การเรียน ผ่านระบบ online หรืออาจมีวิธีการอื่นประกอบบ้าง
เช่น on hand ครูนำเอกสารไปส่งให้กับผู้เรียนที่บ้าน on demand สำหรับนักเรียนที่มีความพร้อม เปิดคอมพิวเตอร์ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง on air เรียนจากโทรทัศน์ แต่ในขณะเดียวกันภาพโดยรวมส่วนใหญ่เป็นการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ผ่านเครื่องมือสื่อสาร และแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เช่น Google classroom / Zoom /Microsoft Team เป็นต้น
ปัญหาสำคัญคือการเรียนในระบบดังกล่าวสามารถให้ความรู้กับผู้เรียนได้เฉพาะส่วนที่เป็นความรู้เชิงวิชาการ หรือพุทธิศึกษาในขณะที่จริยศึกษา หัตถศึกษา หรือพลศึกษา ไม่มีโอกาสได้พัฒนาให้กับผู้เรียนเลย หรือหากเอาแนวคิดของ เพียเจต์ (Jean Piaget) มาเป็นตัวกำหนด ยิ่งตระหนักว่าการพัฒนาด้านสติปัญญาเท่านั้นที่ได้รับการดูแล
การเตรียมการเปิดภาคเรียน ในภาคเรียนที่2 ของปีการศึกษานี้ ได้กำหนดวันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นวัน "เปิดภาคเรียน" พร้อมกันทั้งประเทศ แต่ก็มิได้เป็นกรณีบังคับ เพราะมีหลายโรงเรียน เช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนที่มีลักษณะเฉพาะบางประเภท โรงเรียนประจำ โรงเรียนเด็กพิการ บางแห่ง ได้เปิดเรียนไปล่วงหน้าแล้ว หรือโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย
รวมทั้งโรงเรียนบางสังกัด อาจเปิดภาคเรียนภายหลัง ตามกำหนดเวลาเปิดปิดเทอมที่แตกต่างกันออกไป แต่เมื่อกล่าวโดยรวมโรงเรียนส่วนใหญ่ก็จะใช้วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นวันเปิดเรียนแบบ on-site พร้อม ๆ กัน เมื่อกำหนดไว้เช่นนี้ สิ่งที่จะต้องดำเนินการโดยกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานทางการศึกษา รวมทั้งสถานศึกษาทั้งประเทศ จึงต้องมีทิศทางที่เป็นไปในแนวเดียวกัน ต้องมีการจัดทำคู่มือกำหนดวิธีดำเนินการไว้ โดยแบ่งออกเป็นสามส่วน คือ
ซึ่งเน้นไปที่ การสร้างความปลอดภัยให้กับเด็ก อาทิโรงเรียนต้องมีการประเมินตนเองแบบเช็คลิสต์ ตามระบบ Sandbox Safety zone in School ประมาณ 20 ถึง 30 ข้อ
เช่น การฉีดวัคซีนของนักเรียน ซึ่งศธ. กำหนดเป้าหมายไว้ว่าต้องเกิน 80 % การฉีดวัคซีนครูและบุคลากรกำหนดไว้ที่ 100% ความพร้อมด้านอาคารสถานที่ การทำความสะอาดบริเวณห้องเรียน ห้องอาหาร สนามเด็กเล่น และการบริการต่าง ๆ เช่นการสุ่มตรวจวัดด้วย ATK ช่วงเปิดเรียน การจัดเตรียมตารางเรียนที่สามารถสร้างระยะห่างให้เกิดขึ้นกับเด็ก การติดตามสภาพการระบาดในชุมชนรอบโรงเรียน รวมทั้งการขอให้ ศบค.จังหวัด เข้ามาตรวจสอบ รับรอง และอนุญาต การเปิดเรียน
สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักคือต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ครู ช่วยกันเตรียมโรงเรียนให้ปลอดภัย เตรียมจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ ต้องใปฉีดวัคซีนป้องกันให้ครบถ้วน / ผู้ปกครองก็ต้องพาตัวเองและลูกหลานไปฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดเว้นแต่มีเหตุจำเป็นจริง ๆ / ชุมชน สังคมรอบข้าง ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ก็ต้องช่วยทำให้จังหวัดปลอดโรค พ้นจากสถานการณ์แพร่ระบาด
แต่ก็ต้องให้เด็กได้รับความรู้มากที่สุด การมาเรียนพร้อมกันทั้งโรงเรียนน่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก อาจต้องมีการสลับเวลาเรียนสลับชั้นเรียน แบ่งเด็กออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ใช้วิธีเรียนหลายอย่างประกอบกัน
เช่นเรียนออนไลน์ในส่วนของเนื้อหาวิชาการ มาโรงเรียนเพียงบางวันเพื่อพบครูและเพื่อน ทำแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมร่วมกัน มีการจัดค่าย เสาร์- อาทิตย์ เรียนว่ายน้ำ กีฬา ดนตรี กิจกรรมเสริมหลักสูตร เพื่อให้เด็กได้มีสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม อาชีวศึกษา อาจต้องใช้ระบบ เรียนเป็นโมดูล หรือ บล๊อคคอร์ส เรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มแรกเรียนหนึ่งเดือน จบหนึ่งวิชา จากนั้นกลุ่มที่สองก็มาเรียนต่อ เพื่อไม่ให้จำนวนผู้เรียนแออัดจนเกินไป
ระดับมหาวิทยาลัยเน้นเรียนเนื้อหาจากระบบออนไลน์ และมาเรียนที่สถาบันเฉพาะในส่วนของกิจกรรม การเข้าห้อง Lab ฝึกปฏิบัติ การทำกิจกรรมกลุ่ม การฝึกงาน การจัดการเรียนการสอนเหล่านี้ ต้องเน้นบูรณาการ มีรูปแบบที่หลากหลาย
และมุ่งให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาครบถ้วนในทุกด้าน ครูทุกคนมีความสามารถในการปรับตัวมาใช้ระบบออนไลน์อยู่แล้วในภาคเรียนที่ 1 หรือในปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ทำได้ดีมาก เมื่อจะปรับระบบการเรียนการสอนอีกครั้งหนึ่งให้มีความหลากหลาย และบูรณาการ ก็เชื่อว่าจะไม่เกินความสามารถของครูไทย
กรณีเกิดปัญหาขึ้นในโรงเรียน เช่น มีนักเรียนติดโควิดในบางชั้น บางระดับ หรือชุมชนรอบข้าง มีผู้ติดโควิดจำนวนมากหรือในบางกรณีครอบครัวของนักเรียนติดโควิด หรือนักเรียนติดโควิดจากโรงเรียนแล้วนำไปติดคนในครอบครัว การติดโควิดจากการนั่งรถนักเรียนหรือติดจากชุมชน แล้วส่งผลกระทบต่อโรงเรียน
จำเป็นต้องมีการประเมินร่วมกันระหว่างสถานศึกษา หน่วยงานสาธารณสุขและทีม ศบค.จังหวัดในการกำหนดทิศทางหรือการแก้ปัญหาร่วมกัน จึงไม่ต้องแปลกใจหรือกังวลใจ หากจะมีโรงเรียนเปิดแล้ว และต้องปิด แล้วเปิดใหม่ สลับกันไปเป็นระยะ ถือได้ว่าเป็นความจำเป็นที่ต้องบริหารตามสถานการณ์
ท้ายที่สุดการจัดการศึกษา เป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจและต้องร่วมมือกันในการแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเฉพาะเรื่อง เฉพาะพื้นที่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เด็กได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้หมายรวมไปถึงคนที่อาจต้องออกกลางคัน ตกหล่นจากระบบ เด็กกำพร้าจากการที่พ่อแม่เสียชีวิตด้วยโควิด
หรือเด็กที่อยู่ในภาวะยากลำบากจากปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัว ที่จำเป็นจะต้องแก้ไขต่อไป แต่อย่างน้อย การเริ่มต้น "เปิดภาคเรียน" น่าจะนำไปสู่การฟื้นฟูความรู้ให้กับเด็ก เป็นการเริ่มต้นก้าวเดินอีกครั้งของประเทศ เพราะไม่ว่าเราจะผ่านความยากลำบากเพียงใด ชีวิตก็ต้องเดินไปข้างหน้า ประเทศก็คงเป็นเช่นเดียวกัน
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก คม ชัด ลึก วันที่ 27 ต.ค. 2564