กลุ่มเครือข่ายองค์กรครูทั่วประเทศ คาใจ ร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.. ประเด็นโครงสร้างศธ.ไม่ให้คณะกรรมการกฤษฏีความพิจารณา หวั่นโครงสร้างรวบอำนาจที่ผู้ว่าราชการจังหวัด ย้ำเขตพื้นที่ยังสำคัญ
เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.นายธนชน มุทาพร ประธานชมรมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ..ไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ซึ่งมีการปรับปรุงแก้ไขใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ให้ใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ให้วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง และเปลียนตำแหน่งหัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา รวมถึงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นั้น โดยเรื่องดังกล่าวกลุ่มเครือข่ายองค์กรครูทั่วประเทศยังมีข้อสงสัยในประเด็นที่สาเหตุใดสภาการศึกษา (สกศ.) ถึงไม่นำเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างศธ. เพื่อรองรับการกระจายอำนาจไปให้สำนักงานกฤษฎีกาแก้ไขแต่อย่างใด ซึ่งองค์กรครูทั่วประเทศต่างไม่เห็นด้วยกับโครงสร้างการรวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางทั้งในมาตรา 106 ที่ให้อำนาจปลัดกระทรวงเป็นผู้บังคับบัญชา การให้อำนาจศธ.ชี้นำแทรกแซงรัฐสภาในการออกกฎหมายระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ และสาระบัญญัติของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ไม่มีมาตราใดที่กล่าวถึงหน่วยงานการศึกษาระดับจังหวัดและเขตพื้นที่การศึกษาแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวถึงผู้ว่าราชการจังหวัดให้มีอำนาจจัดการประชุมประธานคณะกรรมการสถานศึกษา แทนที่จะเป็นอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าหน่วยงานการศึกษาในระดับจังหวัดโดยตรงเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้
Advertisement
นายธนชน กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวจึงเป็นที่คลางแคลงใจอย่างยิ่งว่าโครงสร้างของศธ.ในระดับจังหวัดหรือเขตพื้นที่การศึกษาจะมีหรือไม่ หรือจะให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มอบอำนาจการบังคับบัญชาครูให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อให้เกิดการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จเข้าสู่โครงสร้างอำนาจนิยมมากยิ่งขึ้น ซึ่งโครงสร้างอำนาจลักษณะดังกล่าวนี้เป็นอุปสรรคต่อการกระจายอำนาจให้สถานศึกษามีอิสระในการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นการบริหารแบบ single comand ซึ่งไม่เหมาะกับกระทรวงศึกษาธิการ ที่เป็นกระทรวงสร้างคนให้มีปัญญา มีความเป็นอิสระสร้างสรร โดยไม่ควรใช้อำนาจใดมากดทับความคิด และความอิสระของหน่วยงานการศึกษาทุกระดับ
"ผมมองว่าการมีหน่วยงานการศึกษาในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะเขตพื้นที่การศึกษายังมีความจำเป็น เพราะจะเป็นโซ่ข้อกลางคอยประสานส่งเสริม สนับสนุน และติดตามการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ ของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งในมาตรา 88 และมาตรา 93 ทีบัญญัติถึงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ และอำนาจหน้าที่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการรวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างชัดเจน ที่คณะกรรมการฯรับผิดชอบในการกำหนดกฎเกณฑ์ระเบียบ และแนวปฏิบัติ ต่างๆ ตั้งแต่ไม้จิ้มฟัน ยันเรือรบ โดยไม่มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าไปมีส่วนร่วมแต่อย่างใด ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ใหม่ด้วยความรอบคอบ"นายธนชน กล่าว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก เดลินิวส์ วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564