เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) พร้อมด้วยผู้บริหารของ สพฐ. ร่วมประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 4/2564 ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ โดยมี นายเอกชัย กี่สุขพันธ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นประธานในการประชุม เพื่อหารือข้อราชการและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานของ สพฐ. โดยมีหัวข้อการประชุมที่น่าสนใจ อาทิ การประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกสถานที่ (กพฐ. สัญจร) การดำเนินงานตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ความก้าวหน้าการพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน การกำหนดระดับสมรรถนะดิจิทัล (Digital Competency : DC) สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมถึงเรื่องของการรวมสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน การเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และการเลิกขยายชั้นเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นต้น
ทั้งนี้ นายเอกชัย กี่สุขพันธ์ ประธาน กพฐ. ได้กล่าวภายหลังการประชุมว่า วันนี้ที่ประชุมได้มีการหารือเรื่องการนำนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับการสร้างความปลอดภัยในสถานศึกษา ซึ่งก็ได้มีการพูดคุยกันว่า ต้องการให้แต่ละโรงเรียนมีคณะทำงานที่ดูแลเรื่องความเสี่ยงภายในสถานศึกษา ซึ่งโรงเรียนของเรายังขาดในเรื่องของคณะกรรมการด้านความเสี่ยงต่างๆ ทั้งในด้านความปลอดภัยของนักเรียน การคุกคาม การละเมิด การทะเลาะวิวาท หรือการกลั่นแกล้งรังแกกัน (Bully) ซึ่งหากเรามีคณะกรรมการด้านความเสี่ยงนี้ เมื่อมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ก็จะมีคณะกรรมการเหล่านี้คอยดูแลให้ เช่น การพาเด็กนักเรียนไปเข้าค่ายลูกเสือ คณะกรรมการก็จะมีการสอบถามครูผู้ดูแล ว่าสถานที่จัดกิจกรรมเป็นอย่างไร เหมาะสมหรือไม่ หากเกิดเหตุต่างๆ ทางโรงเรียนจะมีวิธีการรับมืออย่างไร โดยดูแลความเสี่ยงทุกประเภทที่จะเกิดขึ้นในสถานศึกษา เพื่อทำให้เด็กที่ไปโรงเรียนมีความปลอดภัย และมีความสุขในการเรียน
ต่อมาคือเรื่องของหลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยเราได้พูดเรื่องของ Big Block ที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินงานข้อที่ 1 คือตัวชี้วัด หากเราไม่ปรับตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรมให้เห็นสมรรถนะชัดเจน ก็อาจจะเป็นตัวชี้วัดที่มากเกินความจำเป็น ซึ่งครูหลายคนมีความกังวลในส่วนนี้ โดยอาจทำให้เวลาที่จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้บางอย่าง ไม่สามารถทำการสอนได้ตามเนื้อหาที่ต้องการจะวัดในแต่ละคาบเรียน ทำให้ครูไม่กล้าที่จะสอนนอกแผนการจัดการเรียนรู้ได้มากนัก ข้อที่ 2 คือระบบการทดสอบ หากเรายังเน้นในเรื่องของการทดสอบอยู่ การที่จะทำให้ครูสนใจเรื่องสมรรถนะก็จะเป็นไปได้ยาก ข้อที่ 3 คือระบบการศึกษาต่อ เรายังขาดการเชื่อมโยงในระดับชั้นต่างๆ ทั้งในชั้น ม.1 ม.4 หรือ ม.6 เข้ามหาวิทยาลัย อย่างเช่นการคัดเลือกเด็กเข้าเรียนในชั้น ม.1 และ ม.4 จะคัดเลือกคนที่มีความรู้ทางวิชาการ แต่ไม่ได้วัดสมรรถนะทางด้านการคิด การสื่อสาร และการวิเคราะห์ เป็นการวัดผลทางวิชาการมากกว่าสมรรถนะที่เกิดขึ้นจริง และข้อที่ 4 คือการเข้าสู่วิทยฐานะของครูและบุคลากรทางการศึกษา หากครูต้องการเลื่อนวิทยฐานะเป็นชำนาญการหรือชำนาญการพิเศษ ก็จะเน้นที่การทำเอกสารเชิงวิชาการมากกว่า ซึ่งครูบางคนถนัดในเรื่องการเขียน แต่บางคนถนัดในเรื่องการลงมือทำมากกว่า ถึงแม้จะมีผลงานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนแต่ก็อาจเขียนได้ไม่ดีเท่าที่ทำจริงก็ได้ ที่ประชุมวันนี้จึงได้มีการพูดคุยกันในเรื่องดังกล่าว เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป
“นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของการกำหนดระดับสมรรถนะดิจิทัล (Digital Competency : DC) สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งร่างออกมาได้เป็น 3 ระดับ คือระดับขั้นพื้นฐาน ขั้นกลาง และขั้นสูง โดยขั้นพื้นฐานจะมี 3 ขั้น ขั้นกลาง 2 ขั้น ขั้นสูง 2 ขั้น รวมทั้งสิ้นเป็น 7 ขั้น ซึ่งในแต่ละระดับต้องมีสมรรถนะที่จำเป็นใน 3 ด้าน คือ ความรู้ ทักษะ และการประยุกต์ใช้ โดยทาง กพฐ. ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา และทำการยกร่างตัวนี้จนเสร็จเรียบร้อย ต่อไปก็จะมีการกำหนดว่าในแต่ละระดับต้องมีสมรรถนะที่จำเป็นมากน้อยอย่างไร แล้วจะยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนครูก็จะมี 2 กลุ่ม คือครูที่สอนทางด้านคอมพิวเตอร์และครูที่สอนวิชาทั่วไป ซึ่งหากสามารถทำได้ก็จะช่วยให้ครูในปัจจุบันและครูในอนาคต อย่างเช่นคณะครุศาสตร์หรือคณะศึกษาศาสตร์ที่ผลิตครู สามารถจัดเตรียมนักศึกษาที่เรียนทางด้านครู ให้มุ่งเน้นเข้าไปสู่ทักษะดังกล่าวนี้ได้เลย และยังสามารถเข้ารับการทดสอบที่ศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (ศูนย์ HCEC) ของกระทรวงศึกษาธิการได้ และหากเป็นครูที่ยังเรียนอยู่ในระบบยังไม่จบปริญญาตรี สามารถไปเข้ารับการทดสอบแล้วเชื่อมโยงระดับกับวิชาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษาของคุรุสภาได้ หากผ่านการทดสอบของกระทรวงฯแล้ว ไม่จำเป็นต้องสอบของคุรุสภาซ้ำอีก สามารถใช้แทนกันได้เลย” ประธาน กพฐ. กล่าว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน