ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 3/2564 ในวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 โดยมีคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษา ราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์
สืบเนื่องจาก ก.ค.ศ. ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ได้เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่งและทุกวิทยฐานะ เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และเพื่อให้ทันและสอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการจัดทำ (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯนี้ โดยได้มีการศึกษาข้อมูล การระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ และการนำผลการวิจัยมาเป็นฐานในการดำเนินการ รวมถึงได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้ว
สำหรับตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ได้กำหนดลักษณะงานที่ปฏิบัติ 3 ด้าน คือ
1. ด้านนิเทศการศึกษา
2. ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา
3. ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ
สำหรับหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่นี้ ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นว่าหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์กับศึกษานิเทศก์ ครู สถานศึกษา หน่วยงานการศึกษา และส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวิชาชีพศึกษานิเทศก์ เพื่อให้ศึกษานิเทศก์ได้พัฒนาตนเองให้มีความรู้และความเชี่ยวชาญ ในการนิเทศการศึกษา มีการพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อผู้เรียนได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ศึกษานิเทศก์เข้าถึงครู ห้องเรียน สถานศึกษา และหน่วยงานการศึกษามากขึ้น ได้รับทราบสภาพปัญหาและความต้องการของห้องเรียน สถานศึกษา และหน่วยงานการศึกษา สามารถนำมากำหนดแผนพัฒนา การนิเทศการศึกษา หรือพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนและคุณภาพการศึกษาได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้การประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่ เป็นการลดกระบวนการและขั้นตอน โดยการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ลดภาระในการจัดทำเอกสารและประหยัดงบประมาณเกี่ยวกับการประเมิน เกิดการเชื่อมโยงบูรณาการในระบบการประเมินวิทยฐานะ การประเมินผลการปฏิบัติงาน การเลื่อนเงินเดือน และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ โดยใช้ตัวชี้วัดเดียวกัน ทำให้ลดความซ้ำซ้อน และมี Big data ในการบริหารงานบุคคลสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการฯ ใหม่ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. กำหนดให้ศึกษานิเทศก์ทุกคนทำข้อตกลงในการพัฒนางานกับผู้บังคับบัญชาชั้นต้น เป็นประจำทุกปี ซึ่งข้อตกลงในการพัฒนางาน ประกอบด้วย 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ
ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าทายในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู หรือการพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน
โดยมีรอบการประเมินปีงบประมาณละ 1 ครั้ง ในแต่ละรอบการประเมินต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการบริหารงานบุคคล ได้แก่ ใช้เป็นคุณสมบัติในการขอรับการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ใช้เป็นผลการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ (มาตรา 55) และใช้เป็นองค์ประกอบในการประเมิน เพื่อพิจารณาเลื่อนเงินเดือน
สำหรับการยื่นคำขอ ให้ยื่นได้ตลอดปี ภาคเรียนละ 1 ครั้ง โดยหากยื่นไว้แล้ว ต้องได้รับแจ้งมติไม่อนุมัติก่อน จึงจะยื่นในวิทยฐานะเดิมได้
2. คุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอ
1) มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งตามระยะเวลาในแต่ละวิทยฐานะ
2) มีการพัฒนางานตามข้อตกลง ในช่วงระยะเวลาย้อนหลัง 3 รอบการประเมิน
3) ในช่วงระยะเวลาการดำรงตำแหน่งย้อนหลัง 4 ปี ต้องไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยที่หนักกว่าโทษภาคทัณฑ์
3. การประเมิน กำหนดให้มีการประเมิน 2 ด้าน สำหรับชำนาญการและชำนาญการพิเศษ
ด้านที่ 1 ด้านทักษะการวางแผนพัฒนาการนิเทศการศึกษา กลยุทธ์ สื่อ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี ในการนิเทศการศึกษา หรือการพัฒนาสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษา ฯลฯ
ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์ในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครู หรือการพัฒนาสถานศึกษา หรือหน่วยงานการศึกษา ที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน ฯลฯ
สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษจะมีการประเมิน ด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ
4. การยื่นคำขอ ให้ยื่นคำขอและหลักฐานประกอบการประเมินผ่านระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (Digital Performance Appraisal : DPA)
5. เกณฑ์การตัดสิน ในแต่ละด้านต้องได้คะแนนจากกรรมการแต่ละคน ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 สำหรับวิทยฐานะชำนาญการ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ร้อยละ 75 และร้อยละ 80 สำหรับวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ ตามลำดับ
โดยหลักเกณฑ์และวิธีการฯ นี้ กำหนดให้มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 และยื่นคำขอผ่านระบบ DPA ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป
ที่มา สำนักงาน ก.ค.ศ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง