นายจรูญ ชูลาภ รักษาการประธานคณะกรรมการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เปิดเผยถึงระยะเวลาการประเมินภายนอกของสถานศึกษา ว่า ตามที่กฎหมายกำหนดให้สถานศึกษาแต่ละแห่ง ต้องเข้ารับการประเมินจาก สมศ.อย่างน้อย 5 ปี 1 ครั้ง ซึ่ง สมศ.ก็ได้กำหนดรอบการประเมินรอบละ 5 ปี โดยรอบที่ 1 ปี พ.ศ.2544-2548 รอบที่ 2 ปี พ.ศ. 2549-2553 รอบที่ 3 ปี พ.ศ.2554-2558 รอบที่ 4 พ.ศ.2559-2563 แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประกอบกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่เสนอแนะให้ สมศ.ชะลอการประเมินคุณภาพภายนอกรอบที่ 4 ออกไปก่อน ขณะเดียวกับ สมศ.ก็ได้มีการปรับปรุงเกณฑ์ตัวชี้วัดต่างๆใหม่นั้น ดังนั้น แทนที่การประเมินรอบสี่จะสิ้นสุดรอบการประเมินในเดือน ก.ย.ปี 2563 ก็ทำให้รอบการประเมินรอบ 4 ขยายเวลาออกไปจาก 5 ปี เป็น 8-10 ปี แล้วแต่ว่าสถานศึกษานั้นจะได้รับการประเมิน จาก สมศ.เร็วแค่ไหน และในรอบต่อไป สมศ.ก็คาดหวังว่า จะประเมินสถานศึกษาได้ครบภายในวงรอบ 5 ปี ตามเดิม ทั้งนี้ ผลกระทบจากการประเมินรอบที่ 4 ที่ใช้เวลามากขึ้น จะกระทบต่อโรงเรียนในแง่ที่ว่า แทนที่จะได้รับคำปรึกษาเพื่อการพัฒนาภายใน 5 ปี ก็ต้องขยายเวลาไปเป็น 7-10 ปี
นายจรูญ กล่าวว่า ขณะนี้รอบการประเมินของ สมศ.จะไม่เรียกว่า รอบสี่ รอบห้า อีกแล้ว เพราะเรามีการหารือกับเรื่องนี้ใน สมศ.และนักกฎหมายของกระทรวงแล้ว จากนี้ไปคำว่ารอบการประเมิน จะหมายถึง รอบการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษา ส่วนของ สมศ.จะไม่กำหนดเป็นรอบ จะทำการประเมินเป็นปกติ คือ สถานศึกษาใดครบ 5 ปี สมศ.ก็จะเข้าไปประเมิน โดยส่งรายชื่อสถานศึกษาที่ครบ 5 ปีให้กับต้นสังกัด เพื่อต้นสังกัดจะได้แจ้งให้สถานศึกษาส่งแบบประเมินตนเอง หรือ SAR ให้ สมศ.
นายจรูญ กล่าวว่า ส่วนการประเมินคุณภาพภายนอกระดับอุดมศึกษานั้น เดิม สมศ.ประเมินระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา แต่กฎหมายใหม่กำหนดกรอบการทำงานให้ สมศ.ประเมินระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา ดังนั้น เราสามารถประเมินระดับอุดมศึกษาได้ก็ต่อเมื่อมีมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับของสถาบันอุดมศึกษา และสถาบันอุดมศึกษาต้องการให้ สมศ.เข้าไปประเมิน อย่างไรก็ตาม สมศ.ก็กำลังพยายามปรับปรุงตนเองให้มีมาตรฐานที่เทียบเท่าต่างประเทศ ให้สถาบันอุดมศึกษายอมรับ โดยขณะนี้ สมศ.มีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาระบบอุดมศึกษา ทำหน้าที่พัฒนาเกณฑ์การประเมินระดับอุดม เพื่อยกระดับการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษาประกาศให้สาธารณะทราบว่ามีมาตรฐาน.
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก ไทยรัฐ วันที่ 14 กันยายน 2563