ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ข่าวการศึกษา     ความรู้ทั่วไป     งานราชการ/รัฐวิสาหกิจ/บริการสังคมข่าวการศึกษา  ▶ ข่าว/บทความ ▶ หน้าแรก

ส.บ.ม.ท.จี้ รมว.ศธ.ให้โอกาส ขรก.ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลกรณีสนามฟุตซอลมีโอกาสชี้แจง


ข่าวการศึกษา 11 ก.ย. 2563 เวลา 15:07 น. เปิดอ่าน : 8,217 ครั้ง
Advertisement

ส.บ.ม.ท.จี้ รมว.ศธ.ให้โอกาส ขรก.ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลกรณีสนามฟุตซอลมีโอกาสชี้แจง

Advertisement

เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563 ดร.รัชชัยย์ ศรสุวรรณ นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) ได้เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กรณีการตรวจสอบการดำเนินโครงการจัดซื้อจัดจ้างสนามฟุตซอลของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ซึ่งล่าสุด ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้องกว่า 90 ราย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นว่าต้องมีการลงโทษตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูล นั้น ทาง ส.บ.ม.ท. เห็นว่า รมว.ศธ. ควรใช้ช้สิทธิตามมาตรา 99 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. 2561 ในการให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาที่ยังไม่ได้รับโทษ ได้มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริงใหม่ต่อ รมว.ศธ.เพื่อส่งต่อไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาอีกครั้ง และขอให้พิจารณาข้าราชการที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวด้วยการใช้ระดับโทษเพียง ปลดออก ก็จะเป็นการให้โอกาสข้าราชการเหล่านี้ได้มีกินมีใช้ในการยังชีพ มีทุนรอนในการจ้างทนายความไปต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยข้าราชการที่ได้รับโทษไล่ออกจากราชการไปแล้วและขณะนี้กำลังยื่นอุทธรณ์ จึงขอให้ รมว.ศธ.ในฐานะประธาน ก.ค.ศ.และมีหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์ ได้เร่งรัดให้เจ้าหน้าที่พิจารณาเรื่องนี้โดยเร็วเป็นกรณีพิเศษและขอได้โปรดลดระดับโทษเป็น “ปลดออกจากราชการ” ให้ด้วย

 
 
                                                                         สมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย
                                                          เลขที่ ๓๓๐/๓ ถนนกรุงเกษม แขวงบางขุนพรหม
                                     เขตพระนคร กรุงเทพ ๑๒๐๐๐
 
๑๑ กันยายน ๒๕๖๓
 
เรื่อง        ขอให้ดำเนินการตามมาตรา ๙๙ แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑
กราบเรียน  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
 
            ตามที่สื่อหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เสนอข่าวว่าเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๓ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบการดำเนินโครงการจัดซื้อจัดจ้างสนามฟุตซอลของโรงเรียนในสังกัด สพฐ. และล่าสุด ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้อง กว่า  ๙๐ ราย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นว่าต้องมีการลงโทษตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูล เช่นเมื่อชี้มูลความผิดว่าให้ไล่ออก ศธ.จะไปลดโทษเหลือแค่ปลดออกก็คงไม่ได้เพราะเรื่องทุจริตถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ต้องจัดการกับผู้เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด นั้น กระกระผมขอกราบเรียน ฯพณฯ ว่าเรื่องการกล่าวหาว่าบรรดาผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและผู้อำนวยการโรงเรียนทุจริตต่อหน้าที่ในเรื่องสนามฟุตซอลนั้น กระกระผมได้รับมอบหมายจากสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทไทย (ส.บ.ม.ท.)ให้ไปดูและช่วยเหลือทางคดีหากค้นพบว่าผู้ถูกกล่าวหามิได้กระทำความผิดก็ให้ร่างข้อต่อสู้ให้บรรดาผู้ถูกกล่าวหาด้วย และเกี่ยวกับเรื่องนี้กระผมขอเรียนว่าจากการลงพื้นที่ไปให้ความดูแลช่วยเหลือและจากการศึกษารายงานการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. นั้นมีข้อค้นพบดังนี้
 
            ๑.  กระผมไม่พบว่ามีผู้ถูกกล่าวหาแม้แต่รายเดียวที่มีข้อค้นพบว่าได้รับเงินหรือผลประโยชน์อะไรเป็นการส่วนตัวและจากรายงานการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.ก็ไม่ปรากฏว่า ป.ป.ช.ชี้ให้เห็นเป็นหลักฐานว่ามีผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและผู้อำนวยการโรงเรียน รายใดที่ได้รับเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดเป็นการส่วนตัวในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้ เทียบเคียงกับคดีที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงมหาดไทยกรณีไล่ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางและไล่นายอำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ออกจากราชการโดยศาลปกครองสูงสุดชี้ว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางและอดีตนายอำเภอแม่เมาะ มีเจตนาเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับเงินหรือประโยชน์อื่นใดที่มิควรได้ในเรื่องดังกล่าว
 
            ๒. กระผมไม่พบว่ามีผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและผู้อำนวยการโรงเรียน รายใดมีความสัมพันธ์กันเป็นการส่วนตัวอย่างใกล้ชิดหรือเป็นเครือญาติกันกับผู้รับจ้างหรือนักการเมืองจนถึงขั้นยอมลดตัวเองในการทำหน้าที่ในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้ผู้รับจ้างหรือนักการเมืองรายใดได้รับผลประโยชน์ที่มิควรได้แต่อย่างใด
 
            ๓. องค์ประกอบที่สำคัญของประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ คือ เจตนาทุจริต ซึ่งถือว่าเป็นเจตนาพิเศษ ที่จะต้องนำสืบให้ปรากฏให้เห็นชัดจึงจะสามารถลงโทษได้ แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนรายงานการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ก็ไม่ปรากฏว่ามีการชี้ให้เห็นถึงเจตนาพิเศษคือเจตนาโดยทุจริต ของผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและผู้อำนวยการโรงเรียน แต่อย่างใด จึงไม่น่ารับฟังเป็นประเด็นเพื่อลงโทษได้
 
            ๔. กระผมได้รับแจ้งจากผู้ถูกกล่าวหาที่จังหวัดนครราชสีมา ที่ถูก สพฐ. สั่งลงโทษทางวินัยให้ไล่ออกจากราชการ ให้ข้อมูลว่า รายงานการชี้มูลความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่นั้น ป.ป.ช.รายงานด้วยข้อความเนื้อหาเดียวกันเพียงเปลี่ยนชื่อผู้ถูกชี้มูลความผิดเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้จริง ก็ไม่น่าจะถือว่าถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม เพราะข้อมูลของแต่และคนแต่ละโรงเรียนหรือแต่ละหน่วยงานย่อมแตกต่างกันไปตามพฤติกรรมการกระทำและตามงบประมาณ
 
            ๕. ข้อกล่าวหาที่ว่า “ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือผู้อำนวยการโรงเรียน ได้ตกลงใจที่จะรับงบประมาณเพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างสนามฟุตซอลตามความประสงค์ของนักการเมืองโดยรู้อยู่แล้วว่านักการเมืองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถที่จะเข้าไปกระทำด้วยประการใดๆอันมีผลให้นักการเมืองซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีส่วนโดยตรงในการใช้งบประมาณรายจ่าย ในลักษณะครอบงำ สั่งการและวางแผนในการใช้จ่ายงบประมาณของ สพฐ. อันเป็นการขัดต่อมาตรา ๑๖๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” กระผมขอเรียนถามว่าบรรดาผู้ถูกกล่าวหาทั้งหลายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็กมีที่ตั้งอยู่ในชนบท จะมีความสามารถในการกระทำตามที่ถูกกล่าวหาได้อย่างไร
 
            ๖. ผู้ถูกกล่าวหาหลายรายมีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสนามฟุตซอลนี้ล้วนแล้วแต่มีพฤติกรรมที่อยู่ห่างจากการกล่าวหาว่าทุจริตมาก เช่นบางท่านไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง แต่มีหน้าที่ตรวจรับพัสดุก็ได้ดำเนินการตรวจรับไปตามหน้าที่ มิได้มีข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามรายงานการลงโทษว่าพัสดุที่ตรวจรับนั้นไม่ครบหรือผิดแบบรูปรายการแต่อย่างใด หรือบางรายเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่เพิ่งย้ายมา ไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆกับต้นทางการจัดซื้อจัดจ้างแต่ต้องลงนามอนุมัติเงินที่มีการเบิกจ่าย ก็ถูกลงโทษในฐานความผิดเดียวกับผู้อื่น 
 
            ๗ รายงานจากคำสั่งลงโทษไม่ปรากฏว่ามีการหยิบยกเอาคำคัดค้านของผู้ถูกกล่าวหาที่ได้ยื่นคำให้การหักล้างแก้ข้อกล่าวหาในแต่ละประเด็นพร้อมพยานหลักฐาน แล้วคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้ให้เห็นว่าคำคัดค้านฟังไม่ขึ้นอย่างไร
 
            ๘. มาตรา ๙๙ แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งบัญญัติไว้มีสาระว่า “ในการลงโทษทางวินัยตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หากผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนมีพยานหลักฐานใหม่อันแสดงได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามิได้มีการกระทำความผิดตามที่กล่าวหาหรือกระทำความผิดในฐานความผิดที่ที่แตกต่างจากที่ถูกกล่าวหา  ให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน มีหนังสือพร้อมเอกสารและพยานหลักฐานถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ขอพิจารณาทบทวนมตินั้นได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.” กระผมเห็นว่าการที่กระทรวงศึกษาธิการสั่งลงโทษไล่ออกข้าราชการที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตเรื่องการก่อสร้างสนามฟุตซอล ที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวนมากกว่า ๖๐ ราย นั้น กระทรวงศึกษาธิการมิได้ใช้ประโยชน์จากมาตรา ๙๙ ในการให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงให้การต่อสู้คดีเพิ่มเติมตามสิทธิทีได้รับการรับรองจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้แต่อย่างใด จึงทำให้ข้าราชการทั้ง ๖๐ กว่ารายดังกล่าวเสียโอกาส ดังนั้นกระผมจึงขอความเมตตาจาก ฯพณฯ และเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรมประกอบกับกฎหมายเปิดช่องให้ทำได้ จึงขอได้โปรดใช้ประโยชน์จากมาตรา ๙๙ นี้ ในการให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหากลุ่มต่อไปที่ ป.ป.ช.เพิ่งชี้มูลความผิด ได้ชี้แจงเพิ่มเติมและส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาใหม่ต่อไป     
 
            ๙. ตามที่ ฯพณฯ ให้สัมภาษณ์ว่า “ว่าต้องมีการลงโทษตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูล เช่นเมื่อชี้มูลความผิดว่าให้ไล่ออก ศธ.จะไปลดโทษเหลือแค่ปลดออกก็คงไม่ได้เพราะเรื่องทุจริตถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ต้องจัดการกับผู้เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด” นั้น ด้วยความเคารพอย่างสูงต่อความเห็นของ ฯพณฯ กระผมเห็นต่างจากความเห็นดังกล่าวของ ฯพณฯ  เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดได้เคยมีคำพิพากษาที่ ฟ ๒๐/๒๕๖๐ มีสาระสำคัญว่า “ในชั้นการออกคำสั่งลงโทษทางวินัย กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจออกคำสั่งจะต้องพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูล อย่างไรก็ตามผู้บังคับบัญชามีอำนาจดุลพินิจในเรื่องระดับโทษได้ กล่าวคือมีอำนาจที่จะมีมติให้ระดับโทษเป็น “ปลดออก” ได้ ในชั้นอุทธรณ์ก็เช่นเดียวกันคือ ผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ย่อมมีสิทธิที่จะกำหนดระดับโทษเป็น ปลดออก ได้”
 
            ๑๐. ตามที่มีข้อพิจารณาว่าคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ลงโทษไล่ออกจากราชการสำหรับข้าราชการที่กระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แม้มีเหตุอันควรปราณีก็ไม่เป็นเหตุลดหย่อนโทษเป็นปลดออกจากราชการ นั้น กรณีนี้ขอเรียนดังนี้
 
                        ๑๐.๑ มาตรา ๙๙ แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ บัญญัติไว้มีสาระสำคัญว่าในกรณีที่ข้าราชการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงต้องลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนผ่อนโทษห้ามมิให้ลดโทษต่ำกว่าปลดออก 
 
                        จากบทบัญญัติแห่งมาตรานี้เห็นได้ว่ากฎหมายระดับพระราชบัญญัติได้บัญญัติให้อำนาจผู้บังคับบัญชามีดุลพินิจในการลงโทษข้าราชการที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงได้สองสถานคือปลดออกหรือไล่ออกก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของกรณีและยังขึ้นอยู่กับเหตุอันควรลดหย่อนโทษที่ข้าราชการรายนั้นมีอยู่ และเมื่อกฎหมายบัญญัติให้ผู้บังคับบัญชามีดุลพินิจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็จะงดเสียไม่ใช้ดุลพินิจหรือยึดถือเอาความเห็นหรือการตัดสินใจของคนอื่นมาเป็นความเห็นหรือการตัดสินใจของตนเองไม่ได้
 
                        ๑๐.๒ หนังสือสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร ๐๒๐๕/ว.๒๓๔ ลงวันที่  ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๖  เวียนแจ้งมติคณะรัฐมนตรี มีสาระสำคัญว่า การลงโทษผู้กระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง  ซึ่งควรลงโทษเป็นไล่ออกจากราชการ การนำเงินที่ทุจริตไปแล้วมาคืนหรือมีเหตุอันควรปราณีอื่นใด ไม่เป็นเหตุลดหย่อนโทษเป็นปลดออกจากราชการ
 
                        กรณีนี้เห็นว่าเรื่องนี้มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่ามติคณะรัฐมนตรีนี้มีฐานะเป็น “กฎ” ตามที่ได้บัญญัติไว้ใน มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ หรือไม่ ประเด็นนี้ผมเห็นว่ามติคณะรัฐมนตรีฉบับนี้ไม่มีฐานะเป็น “กฎ” เพราะโดยสภาพแล้วมติคณะรัฐมนตรีนี้ไม่ใช่พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบข้อบังคับ ที่สำคัญคือไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจคณะรัฐมนตรีในการออกมติดังกล่าวมาใช้บังคับ นอกจากนี้หากมติดังกล่าวเป็น กฎ ก็มีฐานะทางกฎหมายที่ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ ซึ่งไม่สามารถกำหนดหลักเกณฑ์ใดๆให้ขัดแย้งกับพระราชบัญญัติได้ ดังนั้นผู้บังคับบัญชาจึงมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจในการสั่งลงโทษได้ว่าจะให้เป็นไล่ออกหรือหากมีเหตุอันควรลดหย่อนโทษก็ต้องหยิบยกเอาเหตุดังกล่าวมาทำการสั่งให้ลดหย่อนโทษเป็นปลดออกจากราชการก็ได้ นอกจากนี้มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวยังใช้คำว่า “ควรลงโทษเป็นไล่ออก” การใช้คำว่า “ควร” จึงเป็นเพียงข้อเสนอแนะเท่านั้นมิได้เป็นคำบังคับและหากถือว่าเป็นคำบังคับ ก็ไม่สามารถนำไปใช้ได้เพราะมติคณะรัฐมนตรีไม่สามารถขัดกับกฎหมายระดับพระราชบัญญัติได้
 
            ๑๑. จากข้อมูลข้อเท็จจริงในคดีอื่นๆอีกหลายคดี ป.ป.ช.ได้เคยดำเนินการผิดพลาดโดยกล่าวหาและชี้มูลความผิดข้าราชการจนต้องได้รับคำสั่งไล่ออกจากราชการ แต่ต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยให้ส่วนราชการที่มีคำสั่งไล่ออกข้าราชการให้เพิกถอนคำสั่งและคืนสิทธิประโยชน์ให้แก่ข้าราชการดังกล่าวด้วยเหตุผลเพราะ ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจหรือผู้ถูกชี้มูลความผิดไม่ได้กระทำผิดตามที่ ป.ป.ช.กล่าวหา เช่น
 
            - คดีหมายเลขแดง ที่ ๘/๒๕๖๒ ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้กระทรวงมหาดไทยเพิกถอนคำสั่งไล่อออกข้าราชการพลเรือนจำนวน ๘๙ รายที่เข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอโดยศาลปกครองสูงสุดชี้ว่าพวกผู้ถูกกล่าวหามิได้กระทำความผิดตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแต่อย่างใด
 
            - คดีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ยกเลิกเพิกถอนคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ให้ไล่อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางและนายอำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ออกจากราชการ โดยศาลเห็นว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางและนายอำเภอแม่เมาะ มีเจตนาเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับเงินหรือประโยชน์อื่นใดที่มิควรได้ในเรื่องดังกล่าว
 
            - คดีที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๑๑๖๗/๒๕๖๑ ให้กรมพลศึกษาเพิกถอนคำสั่งไล่ข้าราชการรายหนึ่งออกจากราชการตามความเห็นจากรายงานการไต่สวนของ ป.ป.ช. โดยศาลเห็นว่าข้าราชการรายดังกล่าวมิได้กระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการตามที่ ป.ป.ช.กล่าวหาแต่อย่างใด
 
            กระผมขอเรียนว่ายังมีอีกหลายคดีที่ศาลปกครองพิพากษาแตกต่างไปจากความเห็นของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังนั้นจึงไม่อาจเชื่อได้ว่าทุกคดีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนั้นจะเป็นจริงตามที่มีการกล่าวหาให้ลงโทษแต่อย่างใด ดังนั้นข้าราชการที่ถูกส่วนราชการมมิได้ไม่ดำเนินการตามมาตรา ๙๙ แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นโอกาสในการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาอีกทางหนึ่ง ย่อมเสียโอกาสนั้นๆ ประกอบกับหากมีการตรวจสำนวนรายงานของ ป.ป.ช.เกี่ยวกับเรื่องคดีสนามฟุตซอลครั้งนี้ จะพบข้อพิรุธบางประการที่ไม่น่าจะเป็นการทุจริตแต่กระทรวงศึกษาธิการไม่สามารถเปลี่ยนแปลงฐานความผิดได้เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่เปิดช่องให้ทำได้ อย่างไรก็ตามกระทรวงศึกษาธิการยังมีอำนาจใช้ดุลพินิจในการลงโทษปลดออกจากราชการแทนที่จะลงโทษไล่ออกจากราชการซึ่งเป็นเสมือนการประหารชีวิตกันในทางราชการทั้งๆที่ยังมีข้อสงสัยอยู่
 
            ๑๒. คดีนี้ผู้ถูกกล่าวหารายหนึ่งเป็นนักการเมืองและถูกกล่าวหาจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในความผิดฐานเดียวกันและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุดซึ่งได้รับเรื่องนานแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ชี้มูลความผิด กรณีนี้ถ้าอัยการสูงสุดมีความเห็นว่าไม่ได้กระทำผิดและมีคำสั่งไม่ฟ้อง ย่อมหมายถึงผลของคดีย่อมตกเป็นผลดีต่อข้าราชการครูที่ถูกกล่าวหาด้วยดังนั้นการสั่งลงโทษไล่ข้าราชการครูออกจากราชการจึงเป็นกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เท่าเทียมกัน
 
            ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นกระผมจึงขอความเมตตาจาก ฯพณฯ ขอได้โปรด 
            ๑. ใช้สิทธิตามมาตรา ๙๙ แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ ในการให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาที่ยังไม่ได้รับโทษ ได้มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริงใหม่ต่อ ฯพณฯ เพื่อส่งต่อไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาอีกครั้ง
 
            ๒. ขอให้ ฯพณฯ เมตตาข้าราชการที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวด้วยการใช้ระดับโทษเพียง ปลดออก ก็จะเป็นการให้โอกาสข้าราชการเหล่านี้ได้มีกินมีใช้ในการยังชีพ มีทุนรอนในการจ้างทนายความไปต่อสู้คดีในชั้นศาล กระผมขอยืนยันด้วยเกียรติของความเป็นอดีตข้าราชการ ความเป็นนายกสมาคมที่ก่อตั้งมานานมากกว่าสี่สิบปี และเป็นผู้ไปสัมผัสค้นหาข้อมูลด้วยตัวเองขอยืนยันว่าข้าราชการครูทุกรายที่ถูกกล่าวหาและเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ ฯพณฯ นั้น ไม่มีรายใดเป็นผู้ทุจริตต่อหน้าที่ราชการเกี่ยวกับคดีนี้เลย ถ้าจะผิดอย่างมากก็เป็นเพียงผิดระเบียบด้วยเจตนาที่จะให้ได้รับงบประมาณเพื่อให้เด็กๆที่ด้อยโอกาสได้มีโอกาสทัดเทียมกับเด็กๆในเมืองเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นเจตนาที่ดี
 
            ๓. ข้าราชการที่ได้รับโทษไล่ออกจากราชการไปแล้วและขณะนี้กำลังยื่นอุทธรณ์ จึงขอความเมตตาจาก ฯพณฯ ในฐานะประธาน ก.ค.ศ.และมีหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์ ขอได้โปรดเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่พิจารณาเรื่องนี้โดยเร็วเป็นกรณีพิเศษและขอได้โปรดลดระดับโทษเป็น “ปลดออกจากราชการ” ให้ด้วย 
 
            จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
 
ขอแสดงความนับถือ
นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ
นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.)
นายกสมาคม โทร ๐๘๓-๒๖๕๒๖๙๓

  


ส.บ.ม.ท.จี้ รมว.ศธ.ให้โอกาส ขรก.ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลกรณีสนามฟุตซอลมีโอกาสชี้แจงส.บ.ม.ท.จี้รมว.ศธ.ให้โอกาสขรก.ที่ป.ป.ช.ชี้มูลกรณีสนามฟุตซอลมีโอกาสชี้แจง

Advertisement

≡ เรื่องอื่นๆ ที่น่าอ่าน ≡

:: เรื่องปักหมุด ::

การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2567

การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2567

เปิดอ่าน 3,056 ☕ 5 พ.ย. 2567

Advertisement

≡ เรื่องน่าสนใจในหมวดหมู่นี้ ≡
สมศ.ขานรับนโยบาย "บิ๊กอุ้ม"  ภายใน 5 ปี ประเมินสถานศึกษาครบกว่า 5.8 หมื่นแห่ง
สมศ.ขานรับนโยบาย "บิ๊กอุ้ม" ภายใน 5 ปี ประเมินสถานศึกษาครบกว่า 5.8 หมื่นแห่ง
เปิดอ่าน 506 ☕ 19 พ.ย. 2567

คุรุสภาเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. ... และ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูการศึกษาพิเศษ พ.ศ. ... ระหว่างวันที่ 15 - 30 พฤศจิกายน 2567
คุรุสภาเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูปฐมวัย พ.ศ. ... และ (ร่าง) ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพครูการศึกษาพิเศษ พ.ศ. ... ระหว่างวันที่ 15 - 30 พฤศจิกายน 2567
เปิดอ่าน 678 ☕ 15 พ.ย. 2567

"สุเทพ" แนะศึกษาธิการจังหวัดสร้างศรัทธาในการทำงานพร้อมร่วมมือพันธมิตรในพื้นที่ขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษา
"สุเทพ" แนะศึกษาธิการจังหวัดสร้างศรัทธาในการทำงานพร้อมร่วมมือพันธมิตรในพื้นที่ขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษา
เปิดอ่าน 770 ☕ 15 พ.ย. 2567

ปฏิทินการบริหารงานบุคคล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2568
ปฏิทินการบริหารงานบุคคล สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี พ.ศ. 2568
เปิดอ่าน 3,373 ☕ 13 พ.ย. 2567

ประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกระดับชาติเพื่อเป็นโรงเรียนต้นแบบการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ประจำปี 2567
ประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกระดับชาติเพื่อเป็นโรงเรียนต้นแบบการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) ประจำปี 2567
เปิดอ่าน 2,059 ☕ 13 พ.ย. 2567

สพฐ.แจ้งแนวทางการอนุญาตให้บุคลากรในสังกัดทำหน้าที่ผู้ประเมินคุณภาพภายนอก
สพฐ.แจ้งแนวทางการอนุญาตให้บุคลากรในสังกัดทำหน้าที่ผู้ประเมินคุณภาพภายนอก
เปิดอ่าน 953 ☕ 13 พ.ย. 2567

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

กินปลาจะช่วยป้องกันรักษาชีวิต สกัดหลอดเลือดตีบตัน
กินปลาจะช่วยป้องกันรักษาชีวิต สกัดหลอดเลือดตีบตัน
เปิดอ่าน 18,505 ครั้ง

วัยไหนให้ดูทีวี
วัยไหนให้ดูทีวี
เปิดอ่าน 17,756 ครั้ง

พืชพรรณธรรมชาติ ที่ดีต่อผิวพรรณ
พืชพรรณธรรมชาติ ที่ดีต่อผิวพรรณ
เปิดอ่าน 12,560 ครั้ง

เลือดกำเดาไหล
เลือดกำเดาไหล
เปิดอ่าน 17,133 ครั้ง

ฮวงจุ้ยห้องนอน เพื่อรักยืนยาว
ฮวงจุ้ยห้องนอน เพื่อรักยืนยาว
เปิดอ่าน 14,909 ครั้ง

เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
สนามเด็กเล่น

แหล่งรวมเกมส์ เกมส์ให้เล่นมากมาย ศูนย์รวมเกมส์สนุกๆ เกมส์ความรู้ เกมส์ลับสมอง เกมส์ประลองยุทธ แหล่งรวบรวมข้อมูล เกมส์ เกมส์ออนไลน์ เกมส์มันๆ เกมส์ตัดผม ไว้มากมายที่นี่ ให้เด็กๆได้เลือกเล่นมากมาย คลิกเลย

 
หมวดหมู่เนื้อหา
เนื้อหา แยกตามหมวดหมู่ สามารถเลืออ่านได้ตามหมวดหมู่ที่นี่


· Technology
· บทความเทคโนโลยีการศึกษา
· e-Learning
· Graphics & Multimedia
· OpenSource & Freeware
· ซอฟต์แวร์แนะนำ
· การถ่ายภาพ
· Hot Issue
· Research Library
· Questions in ETC
· แวดวงนักเทคโนฯ

· ความรู้ทั่วไป
· คณิตศาสตร์
· วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
· ภาษาต่างประเทศ
· ภาษาไทย
· สุขศึกษาและพลศึกษา
· สังคมศึกษา ศาสนาฯ
· ศิลปศึกษาและดนตรี
· การงานอาชีพ

· ข่าวการศึกษา
· ข่าวตามกระแสสังคม
· งาน/บริการสังคม
· คลิปวิดีโอยอดนิยม
· เกมส์
· เกมส์ฝึกสมอง

· ทฤษฎีทางการศึกษา
· บทความการศึกษา
· การวิจัยทางการศึกษา
· คุณครูควรรู้ไว้
· เตรียมประเมินวิทยฐานะ
· ผลงานวิชาการเล่มเต็ม
· เครื่องมือสำหรับครู

ครูบ้านนอกดอทคอม

เว็บไซต์เพื่อครู ข่าวการศึกษา ความรู้ การศึกษาไทย

      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ