Advertisement
ตะลึง!โกง400ล.-บุกจับคาบ้านหรู
หนุ่มแบงก์ ยัก"ธอส." เสวยสุข! บ้าน30ล. บีเอ็ม2คัน
1.400 ล้าน - กองปราบฯ และนายขรรค์ ประจวบเหมาะ กก.ผจก.ธอส. แถลงจับกุมนายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช ผช. ผจก.ธอส. สาขาเซนต์ หลุยส์ ยักยอกเงินแบงก์ไป 400 ล้าน
|
จับผู้ช่วยผจก.ธอส. สาขาเซนต์หลุยส์ โกงเงินธนาคาร400 ล้าน ใช้ชีวิตแบบมหาเศรษฐี ซื้อบ้านหลังละ 30 ล้าน ขับเก๋งบีเอ็มฯ 2 คัน และยังมีแคชเชียร์เช็คมูลค่า 300 ล้านบาท โดยใช้วิธียักยอกจากบัญชีดอกเบี้ยของธนาคารไปใส่บัญชีตัวเอง ในช่วงเย็นที่ปิดบัญชีแล้วเสร็จแต่ละวัน ครั้งละ 9 แสนบาท จนธนาคารเริ่มผิดสังเกต ประสานกองปราบฯสืบจนจับได้ว่าโกงแบงก์ ตามรวบได้ในที่สุด
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 1 พ.ค. ที่กองปราบปราม นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรม การผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองผบก.ป. พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รองผกก.ทล.ช่วยราชการกองปราบฯ พ.ต.ท.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ พ.ต.ท. ณัฐกร ประภายนต์ พ.ต.ท.อดินันท์ ชัยนันท์ รองผกก.1 บก.ป. แถลงข่าวการจับกุม นายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 538 ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม. พร้อมของกลางเงินสด 15 ล้านบาท รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู รุ่น 525 ไอ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียนป้ายแดง พ-3023 กทม. หลังจากนายสมเกียรติ ซึ่งทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาเซนต์หลุยส์ 3 ยักยอกเงินของธนาคารไปเป็นมูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท
ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา นายขรรค์ได้ประสานมายัง พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป. ให้การสืบสวนและติดตามจับกุมนายสมเกียรติ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายการธนาคาร ธอส. ซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านเอทีเอ็ม ตรวจพบข้อมูลผิดปกติรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีเงินฝากของนายสมเกียรติ ว่ามีการโอนเงินเข้าออกผ่านธนาคารบัญชีของนายสมเกียรติหลายบัญชี รวมแล้วเป็นเงินประมาณ 400 ล้านบาท เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนก่อนทราบว่าผู้ต้องหารู้ตัวและกำลังนำเงินสดหลบหนีมุ่งหน้าไปยังประเทศกัมพูชา ทาง จ.ศรีสะเกษ โดยขับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูของกลาง เจ้าหน้าที่จึงออกติดตามก่อนจับกุมได้ขณะนายสมเกียรติขับรถอยู่บนถนนสายนครราชสีมา-บุรีรัมย์
จากการสอบสวนนายสมเกียรติ ให้การรับสารภาพว่า ยักยอกเงินของธนาคารมาแล้วประมาณ 2 ปี ก่อนหน้านี้เคยติดหนี้พนันฟุตบอล โดยแทงคู่ละ 20,000 บาท ได้เสียกันทีละ 100,000-200,000 บาท เมื่อได้เงินมาก็นำไปใช้หนี้จนหมด แต่จำจำนวนหนี้ไม่ได้ เมื่อใช้หนี้แล้วยังแอบยักยอกเงินธนาคารไปซื้อบ้าน ซื้อรถ และแคชเชียร์เช็ค มูลค่า 300 ล้านบาท โดยตนทำคนเดียวไม่มีเพื่อนร่วมขบวนการแต่อย่างใด และที่หลบหนีอยู่นั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะหลบหนีไปที่ใด คิดเพียงว่าหาที่หลบสักพักก่อน
ด้านนายขรรค์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติการทำงานของนายสมเกียรติ พบว่าเป็นคนทำงานดี ทำงานที่ธอส.มาแล้วประมาณ 10 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 42 โดยจะนั่งรถเมล์มาทำงานทุกวัน ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการธอส. สาขาเซนต์ หลุยส์ 3 มีหน้าที่ดูแลบัญชีของธนาคาร ซึ่งเป็นบัญชีดอกเบี้ยที่ธนาคารต้องจ่ายให้กับผู้ที่ฝากเงินไว้ พบว่านายสมเกียรติจะลงมือช่วงเย็นที่ธนาคารปิดบัญชีแล้ว พนักงานคนอื่นๆก็เดินทางกลับบ้านไปแล้ว จะโอนเงินของธนาคารเข้าบัญชีเอทีเอ็ม ธนาคารกสิกรไทย สาขามา บุญครองของตัวเอง ครั้งละ 900,000 บาท ซึ่งนายสมเกียรติสามารถทำได้ เพราะมีหน้าที่คล้ายกับสมุห์บัญชีของธนาคาร แต่ธนาคารเพิ่งมาทราบพฤติกรรมของนายสมเกียรติเมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมา และเมื่อวันที่ 30 เม.ย. นายสมเกียรติยังทำงานอยู่ที่ธนาคาร
นายขรรค์ กล่าวต่อว่า ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถจับกุมนายสมเกียรติได้เร็วก่อนที่จะหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน และได้เงินสดกลับมาจำนวนหนึ่ง กรณีนี้ถือเป็นครั้งแรกของธนาคาร และนายสมเกียรติ ก็ยักยอกเงินจากบัญชีของธนาคารจากบัญชีดอกเบี้ยเข้าบัญชีตัวเอง เป็นการยักยอกทรัพย์นายจ้าง ไม่ใช่ไปเอาเงินจากบัญชีของลูกค้า ขออย่าวิตกกังวล เพราะธนาคารอาคารสงเคราะห์เป็นธนาคารของรัฐ เรื่องที่เกิดขึ้นได้รายงานให้ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ทราบแล้ว และจากการตรวจสอบพบว่านายสมเกียรติ ยังนำเงินของธนาคารไปฝากบัญชีของตัวเองในหลายธนาคาร ตนประสานไปยังผู้ใหญ่ของธนาคารแล้วเพื่ออายัดบัญชีของนายสมเกียรติ นอกจากเงินสดที่พบแล้ว นายสมเกียรติยังนำเงินไปซื้อแคชเชียร์เช็คผ่านบัญชีมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท บ้านในโครงการ เดอะแลนด์มาร์ค เรสสิเดนท์ ทาวน์โฮม ระดับไฮเอนด์ มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท รถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู มูลค่ากว่า 4 ล้านบาท
ภายหลังการแถลงข่าว พนักงานสอบสวนพร้อมด้วยนายขรรค์ และเจ้าหน้าที่ธอส. เดินทางไปยังหมู่บ้านในโครงการเดอะแลนด์มาร์ค ที่บ้านของนายสมเกียรติ เลขที่ 538 ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม. ที่นายสมเกียรตินำเงินของธนาคารไปซื้อ พบว่าเป็นทาวน์โฮมหรู เล่นระดับ 3 ชั้นครึ่ง บนเนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวาหลังหัวมุม ภายในตบแต่งด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า และโซฟา อย่างหรูหรา ในรั้วบ้านยังพบรถยนต์ ยี่ห้อ บีเอ็ม ดับเบิลยู รุ่น 325 เอฟ สีดำ หมายเลขทะเบียน ฌท 9 กทม. แบบสปอร์ต 2 ประตู เจ้าหน้าที่จึงบันทึกทรัพย์สิน และตรวจสอบหาหลักฐาน ก่อนแจ้งข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง มีโทษจำคุก 1-5 ปี ปรับ 2,000-10,000 บาท เพื่อดำเนินคดีนายสมเกียรติต่อไป
ด้านนายขรรค์ กล่าวอีกครั้งว่า การตัดสินใจจับกุมนายสมเกียรติเริ่มขึ้นเมื่อคืนวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยธนาคารได้อายัดบัญชีและบัตรเอทีเอ็มนายสมเกียรติในช่วงกลางคืน และช่วงตี 4 ของวันที่ 1 พ.ค. ได้เดินทางไปยังบ้านหลังหนึ่งของนายสมเกียรติและพบภรรยาคนหนึ่งของนายสมเกียรติ และขณะนั้นนายสมเกียรติก็โทรศัพท์เข้ามาพอดีเพื่อให้ภรรยาจัดเตรียมเสื้อผ้าให้ จึงคาดว่านายสมเกียรติจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนอายัดบัญชีแล้ว ส่งผลให้ตำรวจติดตามจับกุมนายสมเกียรติได้ที่จ.บุรีรัมย์
สำหรับเงินที่นายสมเกียรติยักยอกไปนั้น ขณะนี้ประเมินอยู่ที่ 300-400 ล้านบาท ยืนยันว่าไม่ได้ยักยอกจากบัญชีเงินฝากของลูกค้า แต่เป็นการยักยอกจากบัญชีดอกเบี้ย หรือบัญชีรายจ่ายของธนาคาร ซึ่งมีไว้เพื่อจ่ายดอกเบี้ยให้ลูกค้าเดือนละ 1.8-1.9 พันล้านบาท ไปไว้ในบัญชีของตนเอง เป็นการทยอยยักยอกเมื่อมีการปิดบัญชีสิ้นวันของสาขา ซึ่งนายสมเกียรติจะทยอยโอนเงินเข้าบัญชีตนเอง ในช่วงที่พนักงานอื่นปิดบัญชีแล้วเสร็จในแต่ละวัน ซึ่งบัญชีดังกล่าวได้เปิดไว้กับธนาคารกสิกรไทย จะโอนครั้งละ 3 หมื่นบาท และต่อวันโอนถึง 30 ครั้ง ธนาคารจึงเริ่มผิดสังเกต จากก่อนหน้าที่ไว้วางใจเขาเนื่องจากเขาเป็นพนักงานดีเด่น 2 ปี ขยันทำงานและบริการลูกค้า จนลูกค้าชื่นชมและไว้วางใจมาก
"ขอยืนยันว่าเงินที่นายสมเกียรติยักยอกนั้นไม่ใช่เงินในบัญชีของลูกค้า เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะตรวจสอบพบง่ายมาก เนื่องจากเมื่อลูกค้าไปอัพเดตสมุดบัญชีก็จะพบทันที ดังนั้นจึงขอให้ลูกค้าธอส.สบายใจได้ ไม่มีปัญหากระทบต่อบัญชีลูกค้าแต่อย่างใด" นายขรรค์กล่าว และว่า การดำเนินการต่อจากนี้ของธนาคาร จะตรวจสอบว่านายสมเกียรติได้นำเงินที่ยักยอกไปใช้อย่างไรบ้าง ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า นำไปซื้อบ้านหลังละ 40 ล้านบาท ซื้อรถบีเอ็มดับเบิลยู 2 คัน รวม 10 ล้านบาท นำเงินไปซื้อพันธบัตรที่ธนาคารแห่งหนึ่งประมาณ 100 ล้านบาท เชื่อว่าจะติดตามทรัพย์คืนมาได้เป็นส่วนใหญ่
นายขรรค์ กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นผลให้มีการเรียกประชุมผู้บริหารของธนาคารเร่งด่วน เพื่อเพิ่มมาตรการป้องกันที่จะเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นอีก พร้อมกับจะต้องกวดขันกระบวนการทำงานของพนักงานเพิ่มขึ้น จะทำให้พนักงานต้องทำงานหนักขึ้น
นายขรรค์ ยังกล่าวถึงสาเหตุที่นายสมเกียรติได้ยักยอกเงินครั้งนี้ว่า คาดว่าน่าจะเป็นเพราะ นายสมเกียรติเป็นคนฉลาด มีความฝันที่จะมีชีวิตที่ดี แต่เดินทางผิดพลาด ทั้งจากที่พบว่ามีการเล่นพนันบ้างแต่ไม่มาก มีภรรยา 3 คน ชอบซื้อของแพง ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย อย่างไรก็ตามในการเดินทางมาทำงาน แม้จะมีรถบีเอ็มฯแล้ว ก็ยังเดินทางมาทำงานด้วยรถไฟฟ้าและกินอาหารปกติเช่นที่พนักงานอื่นกิน
วันที่ 2 พ.ค. 2552
Advertisement
เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,145 ครั้ง เปิดอ่าน 7,155 ครั้ง เปิดอ่าน 7,142 ครั้ง เปิดอ่าน 7,140 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,154 ครั้ง เปิดอ่าน 7,161 ครั้ง เปิดอ่าน 7,139 ครั้ง เปิดอ่าน 7,144 ครั้ง เปิดอ่าน 7,220 ครั้ง เปิดอ่าน 7,146 ครั้ง เปิดอ่าน 7,141 ครั้ง เปิดอ่าน 7,137 ครั้ง เปิดอ่าน 7,138 ครั้ง
|
เปิดอ่าน 7,144 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,319 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,143 ☕ คลิกอ่านเลย |
เปิดอ่าน 7,141 ☕ คลิกอ่านเลย |
|
≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡
เปิดอ่าน 20,221 ครั้ง |
เปิดอ่าน 12,356 ครั้ง |
เปิดอ่าน 21,370 ครั้ง |
เปิดอ่าน 42,385 ครั้ง |
เปิดอ่าน 12,021 ครั้ง |
|
|