"คุรุสภา" ตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริงก่อนสั่งพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ผอ.ชิงทอง เล็งใช้เป็นกรณีตัวอย่างทบทวนมาตรฐานผู้บริหาร ปรับแกณฑ์คัดกรองคนที่มีวุฒิภาวะมากขึ้น
เมื่อวันที่ 23 ม.ค. นางวัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคุรุสภา กล่าวกรณีเจ้าหน้าที่จับกุมนายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือ กอล์ฟ ผู้อำนวยการโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี ผู้ต้องหาปล้นทองคำ ร้านทองออโรร่า สาขาห้างโรบินสัน จ.ลพบุรี ว่า ในส่วนของคุรุสภา จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูและใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหาร โดยเบื้องต้นทางคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจโดยตรงได้มอบอำนาจให้เลขาธิการคุรุสภา ตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง
นางวัฒนาพร กล่าวต่อว่า ตนได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งไปแล้ว และได้มีหนังสือไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)สิงห์บุรี และ สถานีตำรวจภูธร(สภ.)เมืองลพบุรี เพื่อขอข้อมูลมาประกอบการพิจารณา รวมถึงรอผลการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ทั้งนี้หากการสืบข้อเท็จจริงมีมูล กมว.ก็จะตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อนำไปสู่การเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทั้ง 2 ใบต่อไป
นางวัฒนาพร กล่าวต่อว่า ตามข้อบังคับคุรุสภา ระบุว่า เมื่อมีการเข้าสู่กระบวนการสอบสวน จะต้องสั่งพักใช้ใบอนุญาตฯ เป็นเวลา 60 วัน เพื่อไม่ให้ขัดขวางต่อกระบวนการสอบสวน ดังนั้นในกรณีนี้จะสั่งพักใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนก่อน คาดว่า กมว.จะสั่งตั้งกรรมการสอบสวนได้ ใน 1-2 วันนี้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงที่คุรุสภากำลังทบทวนมาตรฐานวิชาชีพผู้บริหารพอดี ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จึงเป็นอีกกรณีหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า ต้องมีการพิจารณาเรื่องของการคัดกรองคนที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารสถานศึกษา
โดยต้องคำนึงถึงวัยวุฒิ วุฒิภาวะ สภาวะทางจิตใจให้ถี่ถ้วนมากขึ้น เพราะผู้บริหารสถานศึกษาต้องดูแลครู ดูแลเด็ก ซึ่งต้องมีวุฒิภาวะ สภาวะจิตใจที่สูงเป็นพิเศษ ดังนั้นอาจจะต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้และคัดเลือกบุคลากรว่า อาจต้องทบทวนในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องประสบการณ์ ที่ปัจจุบันครูชำนาญการก็สามารถสอบเป็นผู้บริหารสถานศึกษาได้ ว่า เหมาะสมหรือไม่ หรือจะกลับไปใช้แนวทางเดิมที่เลื่อนตามลำดับขึ้นมา จากครูต้องผ่านรองผู้อำนวยการก่อนมาเป็นผู้อำนวยการ เพื่อให้ได้ผู้บริหารที่ดีมีวุฒิภาวะที่เหมาะสม
"กรณีนี้ถือครั้งแรกที่ผู้บริหารโรงเรียนก่อเหตุรุนแรง ตอนแรกที่ได้ยินข่าวว่า เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน รู้สึกใจหาย ดิฉันก็เหมือนกับประชาชนทั่วไป ที่มองว่า คนที่จะก่อเหตุแบบนี้ไม่น่าจะมาจากคนที่ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ดังนั้น พอได้ยินก็ตกใจและเกิดความกังวล ว่าจะมีผลกระทบอะไร แต่อีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพอะไร ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ทำสิ่งร้ายแรงได้ แต่ประเด็นคือเราจะต้องทำอย่างไรที่จะคัดกรองคนที่เข้าสู่วิชาชีพทางการศึกษาให้ถี่ถ้วนและรอบคอบมากขึ้น" นางวัฒนาพร กล่าว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก เดลินิวส์ วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2563