สพฐ.ปรับหลักสูตรพื้นฐานใหม่ ลดเนื้อหา เน้นปฏิบัติ ค้นหาตัวเอง เตรียมทดลองใช้ปี63
วันนี้(25พ.ย.)ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)กำลังดำเนินการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีความทันสมัย และมีคุณภาพมาตรฐานสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและแผนแม่บทของประเทศ รวมถึงนโยบายของประเทศ โดยมีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเป็นองค์รวม ซึ่งทิศทางการพัฒนาหลักสูตรจะเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะที่จะนำไปสู่การปรับปรุงการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล ที่เน้นสมรรถนะ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สามารถนำความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน และการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยขณะนี้ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อนำเสนอกรอบแนวคิดและแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียนให้เหมาะสมกับแต่ละระดับ หรือแต่ละช่วงวัย เพื่อเสนอรมว.ศึกษาธิการพิจารณา ในประมาณต้นเดือนมกราคม 2563
"หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 เป็นหลักสูตรอิงมาตรฐานที่เน้นผู้เรียนรู้และปฏิบัติได้ แต่หลักสูตรที่มีการปรับปรุงจะพัฒนาเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ เน้นที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังของผู้เรียน และมีระดับความเชี่ยวชาญตามสมรรถนะ ซึ่งเบื้องต้นได้วางหลักการไว้ว่า ดังนี้
1.การค้นหาตนเอง ส่งเสริมการเรียนรู้ที่หลากหลายตามพหุปัญญา ความสนใจของผู้เรียน ให้มีโอกาสค้นหาตันเอง และวางเป้าหมายการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น
2.การเรียนการสอนต้องลดการสอนเนื้อหา เน้นเรียนรู้แบบองค์รวม จากการปฏิบัติและประสบการณ์จริง
3.การวัดและประเมินผล เน้นที่พัฒนาการการเรียนรู้และพฤติกรรมบ่งชี้ตามสมรรถนะ และ
4.การสนับสนุนซึ่งจะจัดทำสื่อ แนวทางการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล การบริหารจัดการหลักสูตร และพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล"
เลขาธิการกพฐ.กล่าวและว่า ทั้งนี้หากได้กรอบแนวคิด และแนวทางการพัฒนาหลักสูตรแล้ว สพฐ.จะนำมาจัดทำรายละเอียดของหลักสูตรตามกรอบที่กำหนด โดยจะมีการรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย และนำไปทดลองใช้ โดยกำหนดไว้ว่าจะนำหลักสูตรใหม่ไปใช้กับโรงเรียนที่พร้อมใช้ ในปีการศึกษา 2564 และใช้กับทุกโรงเรียนในปีการศึกษา 2565 ต่อไป
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562