นายเมธี ทิพย์รักษ์ ประธานเครือข่ายรองผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย และเป็นตัวแทนผู้สอบบรรจุขึ้นบัญชี และผ่านการอบรมพัฒนาก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ในรุ่นที่ 8 / 2562 ณ สีดารีสอร์ท จังหวัดนครนายก ระหว่างวันที่ 15-22 สิงหาคม 2562 เปิดเผยว่า ตนและคณะจำนวนกว่า 307 คน ที่ผ่านการอบรมและพัฒนาก่อนแต่งตั้งฯ และรอการบรรจุและแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ทั่วประเทศ โดยได้รับแจ้งจากสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดของแต่ละจังหวัดให้ไปเข้ารับการพัฒนาก่อนแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้ดำเนินการ
การที่ผู้อำนวยการโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ได้เขียนย้ายเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ส่งผลให้ผู้ได้รับการขึ้นบัญชีฯ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ไว้ 2 ปี ขาดโอกาสในการเข้าสู่ตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณในการอบรมพัฒนาก่อนแต่งตั้งฯโดยเปล่าประโยชน์ อาจเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 “มาตรา 33 การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ยึดเขตพื้นที่การศึกษา โดยคำนึงถึงระดับของการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวนสถานศึกษา จำนวนประชากร วัฒนธรรมและความเหมาะสมด้านอื่นด้วย” และขัดต่อ “ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ตามราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 127 ตอนพิเศษ 98 ง หน้า 62 วันที่ 18 สิงหาคม 2553 และประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การกำหนดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่การศึกษาเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ตามราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 127 ตอนพิเศษ 98 ง หน้า 28 วันที่ 18 สิงหาคม 2553” นอกจากนี้การคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้ง แต่ละครั้ง ก็ได้ให้ผู้สมัครแยกสมัครสอบบัญชีเป็นผู้อำนวยการสังกัด สพป.และสังกัด สพม. อย่างชัดเจนมาตั้งแต่ต้นแล้วและจะขึ้นบัญชีไว้เป็นเวลาสองปี
จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) แต่ละจังหวัด ได้พิจารณาให้โอกาสกับผู้เข้ารับการพัฒนาและผ่านการอบรมฯ ได้บรรจุเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาดังกล่าวด้วย โดยขอให้กำหนดตำแหน่งว่างในการรับย้ายในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) และกำหนดตำแหน่งว่างไว้เพื่อบรรจุหรืออาจขอใช้บัญชีผู้ผ่านการคัดเลือกฯ จากจังหวัดหรือภาคการศึกษาใกล้เคียงเพื่อบรรจุและแต่งตั้งผู้อำนวยการสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.) ต่อไป
นอกจากนี้แล้ว นายเมธี ทิพย์รักษ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า มีเพียง 38 กศจ.เท่านั้นที่เปิดสอบ และบรรจุรอบแรกไปแล้วตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่อีก 39 กศจ. มิได้เปิดสอบ ผู้อำนวยการสถานศึกษาสังกัด สพม. และเมื่อต้นปีก็ได้มีการรับย้าย ผู้อำนวยการสถานศึกษาสังกัด สพป มาแทนตำแหน่งว่างของผู้เกษียณในปีงบประมาณ 2561 เกือบทั้งหมด และในปีงบประมาณ 2562 ที่พึ่งจะผ่านมานี้ ก็มีตำแหน่งว่างจากการเกษียณอายุราชการตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา สังกัด สพม ว่างลง และ กศจ. กำลังดำเนินการรับย้ายผู้อำนวยการสถานศึกษาจากสังกัด สพป. มาแทนตำแหน่งผู้บริหารที่ว่างใน สพม. ตนจึงขอเรียกร้องให้ทั้ง 39 กศจ ที่มิได้เปิดสอบเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้พิจารณาตำแหน่งที่ว่างไว้เพื่อเปิดสอบ บรรจุแต่งตั้งหรือขอใช้บัญชีจากบัญชีผู้สอบแข่งขันได้จากจังหวัดอื่น และบรรจุแต่งตั้งให้มากที่สุดก่อนที่จะรับย้าย ทั้งนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและส่งเสริมให้รองผู้อำนวยการสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้เข้าสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ตามที่มุ่งหวังไว้
นายเมธีฯยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่าเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า "การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานประกอบด้วยการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ซึ่งมีระบบการบริหารและจัดการศึกษาของทั้งสองระดับรวมในความรับผิดชอบของแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา ทำให้การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่คล่องตัวและเกิดปัญหาการพัฒนาการศึกษา สมควรแยกเขตพื้นที่การศึกษาออกเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพื่อให้การบริหารและการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพ อันจะเป็นการพัฒนาการศึกษาแก่นักเรียนในช่วงชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้สัมฤทธิผลและมีคุณภาพยิ่งขึ้น" ดังนั้นการไม่ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ดังกล่าวจึงสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องเป็นคดีในศาลปกครองและในศาลทุจริตฯ ทั้งนี้หากศาลเห็นว่า กศจ.ทำไม่ถูกต้องและพิจารณามีคำสั่งให้ยกเลิกเพิกถอน ก็จะทำให้เกิดปัญหาที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลังได้" นายเมธีฯกล่าวในที่สุด