จดหมายเปิดผนึกถึง ปปช. ฉบับที่ 1
เรื่อง ขอได้โปรดพิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่ข้าราชการครู
กราบเรียน ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ตามที่ ปปช.ได้ชี้มูลความผิดกรณีมีการกล่าวหาว่านักการเมืองร่วมมือกับข้าราชการครูทำการทุจริตการจัดสรรงบประมาณเพื่อทำการก่อสร้างสนามฟุตซอล ในเขต 2 จังหวัดนครราชสีมา โดยพฤติกรรมมีลักษณะมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ และการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานตามรูปแบบรายการและวิธีการก่อสร้าง สนามกีฬาไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง ส่วนที่เหลือของจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 6 เขต 50 โรงเรียน และจังหวัดอื่นๆ อีก 17 จังหวัด อยู่ระหว่างการดำเนินการ นั้น สมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.)เห็นว่าการปราบปรามทุจริตนั้นเป็นสิ่งที่สมควรเร่งรีบดำเนินการและต้องดำเนินการอย่างเฉียบขาดไม่เลือกปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม ส.บ.ม.ท. เห็นว่า ปปช ควรชี้ให้ชัดให้เหตุผลให้ชัด แสดงหลักฐานให้ชัดว่าใครทุจริต ใครได้รับประโยชน์ที่มิควรได้และได้รับประโยชน์อย่างไร โดยเฉพาะข้าราชการครูที่ถูกชี้มูลความผิดว่าทุจริตนั้น มีพฤติการณ์อย่างไร ได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ส่วนตนอย่างไร หรือ “จงใจ” ที่จะให้ผู้รับจ้าง นักการเมืองได้ประโยชน์ไปเพื่ออะไร ขณะนี้เรื่องที่มีการกล่าวหาว่าข้าราชการครูทุจริตและมีพฤติกรรมเอื้ออำนวยประโยชน์แก่ผู้เสนอราคาให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยมิชอบด้วยกฏหมายนั้นมีหลายเรื่องเช่น เรื่องการจัดจ้างทำสนามฟุตซอล การจัดซื้อจัดจ้างให้ทำห้อง E - Library การจัดซื้อจัดจ้างให้ทำห้อง E-Clssroom การจัดจ้างทำโดมหลังคาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการจัดซื้อครุภัณฑ์เพื่อการศึกษาของโรงเรียนหลายโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจังหวัด เพชรบุรี
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนั้น ส.บ.ม.ท. โดยนายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย ทีมพิทักษ์สิทธิครู และทีมกฎหมายของ ส.บ.ม.ท.ได้เดินทางไปติดตามข้อมูลและให้ความช่วยเหลือในทางคดีในเกือบทุกเรื่องในเกือบทุกพื้นที่ ทั้งประเทศไทย ตามที่ได้รับการร้องขอโดยไม่เลือกปฏิบัติว่าเป็นครูหรือเป็นผู้บริหาร จะอยู่ในสังกัดประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษาก็ตามเพราะทุกคนเป็นครูมีหน้าท่ีเพื่อการศึกษาและพัฒนาเยาวชนของชาติ และไม่รับค่าตอบแทนใดๆ จากบรรดาผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น จากการลงพื้นที่พบว่าข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการกระทำแยกประเภทเป็นดังนี้คือ
1. กรณีการก่อสร้างสนามฟุตซอล นั้น ส่วนใหญ่ แล้ว เป็นโรงเรียนที่อยู่ในชนบทที่ขาดโอกาสในหลายๆเรื่อง บรรดาผู้อำนวยการโรงเรียนและคุณครูผู้เกี่ยวข้องเมื่อได้รับแจ้งว่าจะได้รับงบประมาณก่อสร้างสนามฟุตซอล ทุกคนดีใจเพราะเด็กๆในชนบทจะมีสนามฟุตซอลไว้เล่นและออกกำลังกาย อย่างไรก็ตามในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างนั้นโรงเรียนมีหน้าท่ีจะต้องเขียนแบบรูปรายการในการทำสนามเองทั้งๆที่ไม่มีใครมีความรู้ในทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม จึงได้มีการไปขอแบบรูปรายการจาก สพฐ หรือหน่วยงานอื่นใดอีกหลายหน่วยงานแต่ก็ได้รับการตอบรับว่าไม่มีแบบรูปรายการดังกล่าวในที่สุดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาซึ่งเป็นหน่วยบังคับบัญชาก็เรียกไปพบ มอบแบบรูปรายการให้ และมีการมอบหมายให้เจ้าหน้าท่ีของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแนะนำวิธีการดำเนินการด้านเอกสารให้ โดยโรงเรียนก็ได้ดำเนินการประกาศสอบราคาตามระเบียบ มีผู้มายื่นซอง เสนอราคา มีการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ
ส่วนที่มีการกล่าวหาว่ามีผู้มายื่นซองและมีคู่เทียบนั้นเป็นเรื่องเกินวิสัยที่โรงเรียนจะล่วงรู้ได้ และการกล่าวอ้างว่าแผ่นพื้นสนามฟุตซอลไม่ได้มาตรฐานนั้น ในข้อเท็จจริงที่ ส.บ.ม.ท.ได้ลงพื้นที่จริงและตรวจสอบพบว่าผู้รับจ้างได้นำเอกสารการรับรองมาตรฐานที่รับรองโดยมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีอำนาจในการรับรองได้ มาแสดงต่อผู้มีหน้าท่ีตรวจสอบของโรงเรียน แล้ว และข้อเท็จจริงจากการสอบสวนของ ส.ต.ง.หรือ ปปช ก็ไม่พบว่าผู้อำนวยการโรงเรียนหรือข้าราชการครูรายใดได้รับประโยชน์เป็นการส่วนตัวในเรื่องนี้ และก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะเอื้อประโยชน์ต่อนักการเมืองหรือผู้รับจ้างเพราะมิได้มีความสัมพันธ์กันในฐานะญาติหรือเพื่อนแต่อย่างใด การดำเนินการของโรงเรียนเป็นไปเพื่อประโยชน์โดยแท้ หากจะมีความผิดพลาดอยู่บ้างก็เป็นเรื่องของการไม่รู้ไม่เข้าใจในระเบียบบางเรื่องของทางราชการที่มีความซับซ้อนและต้องรีบตัดสินใจเพราะระยะเวลากระชั้นชิด ในส่วนของผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาที่เกี่ยวข้องนั้น เชื่อได้ว่าได้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เนื่องจากตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองและผู้ท่ีมีอำนาจอิทธิพลที่เหนือกว่า
2. กรณีเรื่องการจัดซื้อครุภัณฑ์เพื่อการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการประถมศึกษาแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี นั้น มีโรงเรียนที่ถูกกล่าวหาจำนวนมากถึง 24 โรงเรียน นายรัชชัยย์ฯและทีมพิทักษ์สิทธิครู ทีมกฎหมายของ ส.บ.ม.ท. ได้ลงพื้นท่ีตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือในทางคดีพบว่า โรงเรียนประถมศึกษาเหล่านั้นล้วนเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก แต่ละโรงเรียนมีคุณครูเพียงสี่ห้าคน โรงเรียนขาดแคลนโต๊ะเก้าอี้นักเรียน ขาดแคลนสื่อการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานที่ควรมี เมื่อผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาไปตรวจเยี่ยมที่โรงเรียนก็จะมีการแจ้งให้ผู้อำนวยการแต่ละโรงเรียนรายงานความต้องการครุภัณฑ์ที่ขาดแคลน โดยแจ้งว่า “สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะดำเนินการจัดซื้อให้เอง ขอให้โรงเรียนรอรับครุภัณฑ์และตรวจรับตรวจนับให้เรียบร้อยและถูกต้อง เพราะแต่ละโรงเรียนไม่สามารถจัดซื้อเองได้เนื่องจากแต่ละโรงเรียนมีจำนวนข้าราชการครูไม่เพียงพอในการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการจัดซื้อในด้านต่างๆ”
เมื่อโรงเรียนรายงานความต้องการไปได้ไม่กี่วัน ก็มีร้านค้านำครุภัณฑ์มาส่งให้ตามความต้องการ โรงเรียนตรวจรับและตรวจนับแล้วเห็นว่ามีจำนวนและคุณสมบัติเป็นไปตามความต้องการของโรงเรียน จึงได้นำไปใช้เพื่อประโยชน์ของนักเรียน เพราะเชื่อโดยสนิทใจว่าสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาฯเป็นผู้จัดซื้อให้
ต่อมาผู้มีอำนาจได้เเจ้งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนไปพบและให้เจ้าหน้าท่ีของสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาแจ้งให้โรงเรียนจัดทำเอกสารจัดซื้อเองและทำจัดซื้อย้อนหลัง บรรดาผู้อำนวยการโรงเรียนส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บริหารใหม่ไม่เคยผ่านการอบรมเรื่องวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ประกอบกับมีความกลัวเกรงผู้มีอำนาจ จึงจำเป็นต้องทำเอกสารจัดซื้อย้อนหลังให้เพราะเห็นว่าโรงเรียนได้รับครุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามความต้องการของโรงเรียนและมีจำนวนครบตามที่ได้แจ้งความต้องการไปที่สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา นอกจากนี้ราคาที่ซื้อก็ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ต้องสอบราคาหรือประกวดราคา แต่ในที่สุดก็ต้องถูก ปปช สอบสวน และอยู่ในระหว่างการดำเนินการของ ปปช กรณีนี้ก็เห็นว่า ผู้อำนวยการและคุณครูผู้เกี่ยวข้องต่างก็ไม่ได้มีพฤติการณ์แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่นแต่อย่างใด
3. กรณีโดมหลังคาของโรงเรียนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กรณีนี้นายรัชัยย์ฯและทีมกฎหมายของ ส.บ.ม.ท.ได้เดินทางไปที่จังหวัดปัตตานี เพื่อขอทราบข้อมูลและให้ความช่วยเหลือทางคดี พบข้อเท็จจริงว่า กระทรวงศึกษาธิการได้ใช้เงินเหลือจ่ายจัดสรรงบประมาณให้โรงเรียนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อสร้างโดมกันฝนให้นักเรียนเนื่องจากเป็นพื้นที่ฝนตกชุก โดยให้ใช้วิธีจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ และมีเวลาดำเนินการหาผู้รับจ้างให้แล้วเสร็จภายในสามวันเพราะหากไม่ได้ผู้รับจ้างในระยะเวลาดังกล่าว งบประมาณก็ต้องตกไป โรงเรียนแต่ละโรงจึงได้ดำเนินการด้วยวิธีพิเศษและแบบรูปรายการก่อสร้างก็ไปใช้แบบรูปของโรงเรียนในภาคกลาง ภาคอีสานที่สร้างเสร็จแล้วและไม่มีปัญหาใดๆ ราคากลางการก่อสร้างก็ทำถูกต้องตามกระบวนการ มีการเปิดโอกาสให้มีการยื่นซองเสนอราคา มีผู้มายื่นซองหลายราย โดยที่โรงเรียนไม่มีทางทราบได้ว่าผู้มายื่นซองทั้งหลายนั้นมีใครเป็นคู่เทียบหรือไม่ เรื่องนี้ก็อยู่ในระหว่างการตรวจสอบของ ปปช และข้อเท็จจริงที่ ส.บ.ม.ท.ไปตรวจสอบก็ไม่พบการทุจริตหรือการเอื้อประโยชน์ต่อผู้หนึ่งผู้ใดโดย ผู้อำนวยการโรงเรียนและ คุณครูแต่อย่างใด ในส่วนของผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นั้นเชื่อว่าได้ดำเนินการไปตามที่ผู้มีอำนาจได้สั่งการ
ส.บ.ม.ท.ขอประทานกราบเรียนว่าขณะนี้บรรดาผู้อำนวยการโรงเรียนและบรรดาข้าราชการครูของโรงเรียนต่างๆหลายร้อยรายต่างก็เสียขวัญไม่มีกำลังใจในการปฏิบัติหน้าท่ีเพราะกังวลว่าจะต้องถูกลงโทษไล่ออกจากราชการและถูกจำคุกตาม กฎหมายในเรื่องการฮั้วประมูลซึ่งจะต้องได้รับโทษจำคุกขั้นต่ำห้าปี ทั้งๆที่พวกตนไม่ได้มีเจตนาหรือพฤติกรรมอันเป็นการทุจริตแต่อย่างใด ส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น ส.บ.ม.ท.จึงขอเรียกร้องและกราบเรียนให้ ปปช ได้กรุณาศึกษาดูเจตนารมณ์ของกฎหมายว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 นั้นมีเจตนารมณ์อย่างไร โดย ส.บ.ม.ท.เชื่อว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้ก็เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตในวงราชการ ดังนั้นหากพิสูจน์ได้ว่าใครทุจริต เบียดบังเอาเงินหรือทรัพย์สินของรัฐไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นก็ต้องได้รับโทษอย่างสาสม แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ได้ทุจริตหรือไม่ได้ร่วมมือกันทุจริตหรือเป็นแค่เหยื่อหรือเป็นแค่กระทำผิดระเบียบที่ขาดเจตนาเพื่อเอื้อต่อนักการเมืองหรือผู้ประกอบการ ก็ควรที่จะกันไว้เป็นพยานหรือส่งข้อมูลให้ส่วนราชการต้นสังกัดพิจารณาดำเนินการตามควรแก่กรณีต่อไป
การที่ ปปช.ชี้มูลความผิดว่าบรรดาผู้อำนวยการโรงเรียนหรือข้าราชการครูกระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏชัดว่าบรรดาบุคคลดังกล่าวได้รับผลประโยชน์อะไร อย่างไร เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดที่รุนแรงและจะส่งผลให้บุคคลเหล่านั้นต้องถูกไล่ออกจากราชการโดยไม่มีทางต่อสู้คดีได้อีก โดยส่วนราชการต้นสังกัดก็ไม่มีสิทธิพิจารณาเป็นอื่นได้และจะสร้างความหวาดกลัวให้ข้าราชการทั้งหลายไม่กล้าเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างต่อไปอีกเพราะเกรงว่าหากผิดพลาดแล้วจะต้องมีชะตากรรมที่เลวร้ายที่สุดทั้งๆที่ไม่มีเจตนาทุจริต ซึ่งจะส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองในด้านต่างๆ
อย่างไรก็ตามขณะนี้ที่ประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกามีมติให้มีการฟ้อง ปปช ได้แล้ว หากเห็นว่าการดำเนินการของ ปปช เป็นการไม่ชอบ ดังนั้นสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือหากบรรดาผู้ที่ถูก ปปช ชี้มูลความผิดทั้งๆที่มิได้มีส่วนร่วมในการทุจริตโดยเฉพาะคดีดังกล่าวข้างต้นซึ่งมีจำนวนหลายร้อยคน ต่างพร้อมใจกันยื่นฟ้อง ปปช และหากต่างคนต่างแยกกันยื่นฟ้องเพราะข้อเท็จจริงของแต่ละคนแตกต่างกันไป โดยยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายและยื่นฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลทุจริตประพฤติมิชอบ ส.บ.ม.ท. เป็นห่วงว่า ปปช จะต้องเอาเวลาทั้งหลายที่ควรทำให้เกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ไปคอยแก้ต่างคดีที่จะถาโถมมาหลายร้อยคดีก็จะเหนื่อยมากและสุ่มเสี่ยงต่อการได้รับโทษได้
นอกจากนี้ ส.บ.ม.ท.จึงถือโอกาสจากจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ขอฝากไปถึงบรรดาข้าราชการครูที่ถูกกล่าวหาไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน หรือเป็นคุณครู โดยไม่ว่าจะเป็นสายประถมศึกษาหรือสายมัธยมศึกษาก็ตาม หากเป็นทุกข์ในเรื่องเหล่านี้ขอได้โปรดอย่าแบกความทุกข์แบกปัญหาไว้คนเดียว ขอให้ติดต่อไปที่นายก ส.บ.ม.ท. (โทร 086-3341202)
ทั้งนี้ ส.บ.ม.ท มีทีมกฎหมาย ทีมพิทักษ์สิทธิครู ที่จะเดินทางไปหาทุกท่านถึงที่โดยที่ผู้เดือดร้อนเสียหายไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดใดทั้งสิ้น และหากจำเป็นต้องต่อสู้คดีในศาลหรือจำเป็นต้องยื่นฟ้องผู้ใดเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาเอง ส.บ.ม.ท. ก็จะดำเนินการให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดใดเพราะทุกท่านคือคุณครู คือนักการศึกษาที่ควรเอาเวลาที่เป็นทุกข์ไปใช้ในการส่งเสริมและพัฒนานักเรียนให้เป็นเยาวชนที่ดีมีความรู้และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาชาติบ้านเมือง ต่อไป
จึงขอประทานกราบเรียนมาเพื่อกรุณาทราบและโปรดพิจารณาให้ความเป็นธรรมต่อไป
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ
นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย