อดีตประธานกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย แนะโรงเรียนขนาดเล็กดูแลคนแก่แทนยุบทิ้ง
วันนี้ (22 ก.ค.) รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตประธานกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย สภาปฏิรูปแห่งชาติ 2558 กล่าวในการประชุมเชิงปฏิบัติการ"สังคมคนไทยอายุยืน" จัดโดยสำนักงานราชบัณฑิตยสภา เมื่อเร็วๆนี้ว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ในปี 2564 โดยจะมีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด และภายในปี 2578 คาดว่าจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด โดยมีผู้สูงอายุเพิ่มเป็นร้อยละ 30 อีกทั้งอัตราการเกิดก็ลดลงมาก ทำให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลงไป ตนจึงมองว่าเป็นสงครามใหม่ของประเทศ หากไม่มีการเตรียมการรองรับที่ดีจะมีปัญหาแน่ และจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศอย่างมาก โดยในช่วง 10 ปีข้างหน้า ผู้สูงอายุจะมีมากกว่าเด็ก และคนวัยแรงงานจะมีจำนวนน้อยลง แต่กลับต้องดูแลเด็กและผู้สูงอายุในจำนวนที่มากขึ้น ซึ่งกลุ่มคนวัย 40-60 ปีในขณะนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่ต้องเจอกับภาระหนักเหล่านั้น ปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่ปัญหาของผู้สูงอายุ แต่เป็นปัญหาของคนทุกวัย
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ต้องยอมรับว่าระบบต่างๆ ของเรายังไม่รองรับผู้สูงอายุให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สาธารณสุข สภาพแวดล้อม การขนส่งสาธารณะ หรือแม้แต่การตระหนักรู้ของคนในครอบครัวเอง ดังนั้นหากเรื่องของผู้สูงอายุไม่ถูกผลักดันในระดับนโยบายแล้วเราจะเดินหน้ากันต่อไปได้อย่างไร
"ผู้สูงอายุไม่ได้เป็นภาระ แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญชีวิตที่ยังสามารถทำประโยชน์ได้อีกมาก เราจึงมีข้อเสนอให้ขยายอายุการทำงานในบางสาขาอาชีพ และก็อยากให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมดูแลผู้สูงวัย เช่น กรณีการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ผมก็อยากให้กระทรวงศึกษาธิการคิดอีกมุมหนึ่งว่าแม้เด็กจะน้อยลง แต่ผู้สูงอายุมีมากขึ้นก็น่าจะใช้สถานที่มาจัดกิจกรรมเพื่อผู้สูงอายุได้ เด็กก็จะได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญชีวิต เรียกว่าเป็นโรงเรียน 3 วัย คือ นักเรียน ผู้ปกครองและผู้สูงอายุ น่าจะได้ประโยชน์มากกว่ายุบทิ้งไป" รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2562