“สมพงษ์” แนะรมว.ศธ.คนใหม่ ดัน 4 แนวทางขับเคลื่อนการศึกษา จี้”สุวิทย์”วางแผนการทำงาน อว.ด้านอุตสาหกรรมกับสังคม 50ต่อ50 เพื่อไม่เกิดจุดเสี่ยง
วันนี้(11ก.ค.) ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตามที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรีนั้น ในส่วนขอกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งนายณัฏฐพลมาจากภาคเอกชนน่าจะทำให้การตัดสินใจ การเปลี่ยนแปลง มีความรวดเร็ว ความคล่องตัวและรู้เรื่องปัญหาการศึกษาระดับหนึ่ง เพราะทำงานการศึกษา นอกจากนี้มีวิสัยทัศน์ และนโยบายที่มุ่งไปสู่ความเป็นสากล ส่วนดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ เคยเป็นอดีตรมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ สอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบสะเต็มศึกษา และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ทำงานในพื้นที่ หากมีการหลอมรวมจะเป็นจุดแข็งของ ศธ.
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญเรื่องการตั้ง อว. ตนคิดว่าดร.สุวิทย์ มองอนาคต แผนการดำเนินงานไปในทิศทางของอุตสาหกรรม นวัตกรรม เศรษฐกิจ ภาคเอกชน แต่ถ้ามาทำงานตรงนี้ ควรที่จะต้องวางแผนการทำงาน ระหว่างอุตสาหกรรม นวัตกรรม เศรษฐกิจ และสังคมศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำ คุณภาพชีวิต ให้เกิดความสมดุล 50ต่อ50 หากทำไม่ได้ในอนาคตมหาวิทยาลัยจะไปอยู่ในจุดที่เสี่ยง เพราะปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ สิ่งแวดล้อม เป็นปัญหาที่ใหญ่เทียบเท่ากับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ ต้องดำเนินไปอย่างควบคู่กัน
“สิ่งที่ผมอยากเสนอแนะเกี่ยวกับการศึกษาดังนี้
1.ควรจะนำประวัติการปฏิรูปการศึกษามาศึกษา ว่าเหตุใดจึงไม่สำเร็จ ซึ่งการปฏิรูปการศึกษา ผมเชื่อว่าจะทำให้เห็นจุดแข็ง จุดอ่อน และได้โจทย์การปฏิรูปที่เป็นตัวตนและได้รับการยอมรับ
2. รมว.ศธ. ควรจะฟังเสียงของเด็กมากขึ้น ต้องเน้นการมีส่วนร่วมทำให้เด็กกล้าแสดงออก เป็นวิธีการสร้างคุณภาพประชากรที่ดีที่สุด
3.อยากเห็นการสานต่องานจากรัฐบาลที่ผ่านมา เรื่องการปราบปรามการทุจริต
และ 4.ควรขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ รวมถึงหาคนที่ไม่ใช่พรรคพวกตัวเอง เพื่อให้เกิดการตอบโต้ทางความคิดและได้แนวทางการปฏิรูปการศึกษาที่ถูกต้องและแก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างลุล่วง” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวและอ่านเพิ่มเติมได้จาก เดลินิวส์ วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม 2562