นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอย้ายไว้ว่า “ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือ รองผู้อำนวยการสถานศึกษาและได้ปฏิบัติงานในตำแหน่งดังกล่าวในสถานศึกษาปัจจุบันติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า ๒๔ เดือน นับถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ของปีที่ยื่นคำร้องขอย้าย” และต่อมาได้มีผู้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองอุบลราชธานี ขอให้มีคำสั่งทุเลาการบังคับใช้หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในข้อ ๑๐ และ ข้อ ๑๑ และศาลปกครองอุบลราชธานี มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ บ.๗๕/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๐ ให้ทุเลาการบังคับใช้หลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ในข้อ ๑๐ และ ข้อ ๑๑ สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้มีหนังสือแจ้งเวียนไปยังสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดทุกจังหวัดให้ชะลอการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งยื่นคำร้องขอย้ายระหว่างวันที่ ๑ – ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งทุเลาการบังคับตามหลักเกณฑ์การย้าย ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ ศาลปกครองอุบลราชธานี ได้อ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ คบ.๕๑ /๒๕๖๑ มีสาระว่าศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วยกับการทุเลาการบังคับตามหลักเกณฑ์การย้าย จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองอุบลราชธานีเป็นยกคำขอของผู้ฟ้องคดีที่ให้ทุเลาการบังคับตามหลักเกณฑ์การย้าย นั้น
สมาคมฯพิจารณาแล้วเห็นว่าผลจากการที่ศาลปกครองอุบลราชธานีมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวส่งผลให้บรรดาผู้บริหารสถานศึกษาที่ยื่นคำร้องขอย้ายระหว่างวันที่ ๑ – ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ และได้รับการพิจารณาให้ย้ายมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือ รองผู้อำนวยการสถานศึกษาและได้ปฏิบัติงานในสถานศึกษาแห่งใหม่ติดต่อกันเป็นเวลาไม่ถึง ๒๔ เดือน นับถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ จึงอาจทำให้บรรดาผู้บริหารสถานศึกษาดังกล่าวที่ประสงค์จะยื่นคำร้องขอย้ายระหว่างวันที่ ๑ – ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการยื่นคำร้องขอย้ายทั้งๆที่การเสียสิทธิดังกล่าวมิได้เกิดจากพฤติกรรมและการกระทำของผู้เสียสิทธิแต่การเสียสิทธิเกิดจากคำสั่งของศาลปกครองอุบลราชธานีและต่อมาภายหลังศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองอุบลราชธานี
จึงเห็นว่าเรื่องนี้ ก.ค.ศ.ควรดำเนินการให้มีการเยียวยาและรักษาสิทธิของบรรดาผู้บริหารสถานศึกษาที่เสียสิทธิดังกล่าวโดยขอเสนอแนะให้ ก.ค.ศ.มีมติแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี ๒๕๖๒ นี้โดยให้ถือว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองอุบลราชธานี เป็นผู้ที่ได้รับการยกเว้นคุณสมบัติในเรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือ รองผู้อำนวยการสถานศึกษาและได้ปฏิบัติงานในตำแหน่งดังกล่าวในสถานศึกษาปัจจุบันติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า ๒๔ เดือน นับถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ของปี พ.ศ.๒๕๖๒ “หาก ก.ค.ศ.ไม่ดำเนินการยกเว้นคุณสมบัติดังกล่าวให้และถ้าผู้เสียสิทธิรายใดรายหนึ่งหรือหลายรายยื่นฟ้องต่อศาลปกครองและศาลปกครองมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามหลักเกณฑ์การย้ายดังกล่าวอีก ก็จะทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่องที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลัง” นายรัชชัยย์ กล่าวฯ