ดร.ดิเรก พรสีมา ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) เปิดเผยว่า ตนเป็นตัวแทนของ ส.ค.ศ.ท.มายื่นหนังสือถึง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะประธานกรรมการคุรุสภา เพื่อขอให้มีการตีความมาตรา 44 (ก) (3) แห่ง พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 เนื่องจากในการประชุม ส.ค.ศ.ท.ได้หารือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตราดังกล่าว แต่มีความเห็นที่ไม่ตรงกัน แบ่งเป็น 2 แนวทาง คือ ให้สามารถนำเวลาที่นักศึกษาครูไปสังเกตการสอนหรือการไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยครู ระหว่างชั้นปี มานับเป็นส่วนหนึ่งของเวลาปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ตามที่บัญญัติไว้ในมาตราดังกล่าวได้ ขณะที่บางส่วนเห็นว่าไม่สามารถทำได้ ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติให้ตนเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการคุรุสภา พิจารณาส่งความเห็นในเรื่องนี้ ไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดว่ามีขอบเขตและความหมายว่าอย่างไร เพื่อที่สถาบันผลิตครูจะได้ใช้เป็นบรรทัดฐาน การปฏิบัติของสถาบันผลิตครูของประเทศต่อไป
“การที่ ส.ค.ศ.ท. เสนอให้มีการตีความในเรื่องนี้ เพราะมีข้อห่วงใย ว่า หากกรณีที่เด็กมาเรียนในหลักสูตรที่มีการนำเวลาที่นักศึกษาครูไปสังเกตการสอน หรือการไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยครูระหว่างชั้นปี มานับเป็นส่วนหนึ่งของเวลาปฏิบัติการสอน และคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าไม่สามารถนำมาร่วมนับได้ นักศึกษาคนดังกล่าวก็จะขาดคุณสมบัติผู้ที่มีสิทธิสอบขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้ อีกทั้งขณะนี้มีมหาวิทยาลัยหลายแห่งเสนอหลักสูตรผลิตครู 4 ปีใหม่ ให้สภามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งพิจารณาบ้างแล้ว ดังนั้น ผมคิดว่าจำเป็นที่จะต้องมีการตีความเรื่องนี้ให้ชัดเจน และรวดเร็ว เพราะเมื่อได้ข้อสรุปแล้วแต่ละมหาวิทยาลัยก็จะมีระยะเวลาในการปรับปรุงแก้ไข หลักสูตรให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ก่อนที่จะนำหลักสูตรใหม่มาใช้ในปีการศึกษา 2562” ประธาน ส.ค.ศ.ท. กล่าว.
ขอบคุณทีมาเนื้อหาข่าวจาก ไทยรัฐ 11 เม.ย. 2562