สมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย ค้านแก้ประกาศเกณฑ์รับนักเรียนใหม่ ปี 62 ตามมาตรการ ป.ป.ช. ชี้ ทำเหมือนวงการศึกษามีเรื่องทุจริต
ตามที่ประชุมมีมติแก้ไขประกาศสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เรื่อง นโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียน สังกัด สพฐ. ปีการศึกษา 2562 ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทน เพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา สังกัด สพฐ.ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอ โดยที่ประชุม กพฐ.มีมติปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับนักเรียน กรณีเงื่อนไข ซึ่งเดิมการรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษมี 7 ข้อจะลดเหลือ 4 ข้อ ได้แก่ 1.นักเรียนที่อยู่ในความอนุเคราะห์ของผู้บริจาคที่ดินเพื่อจัดตั้งโรงเรียน เนื่องจากเป็นข้อผูกพันเดิมของโรงเรียน 2.นักเรียนที่เป็นผู้ยากไร้และด้อยโอกาส 3.นักเรียนที่เป็นบุตรผู้เสียสละเพื่อชาติ หรือ ผู้ประสบภัยพิบัติ ที่ต้องการได้รับการสงเคราะห์ดูแลเป็นพิเศษ และ4.นักเรียนที่เป็นบุตรราชการครู และบุคลากรของโรงเรียน ส่วนที่ตัดออก 3 ข้อ ได้แก่ 1.นักเรียนที่ทำคะแนนสอบคัดเลือกเท่ากันในลำดับสุดท้าย 2.รับนักเรียนโควตาตามข้อตกลงของโรงเรียนคู่สหกิจ หรือคู่พัฒนา หรือโรงเรียนเครือข่าย และ3.นักเรียนที่อยู่ในอุปการะของผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ก.พ. ดร.รัชชัยย์ ศรสุวรรณ นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) กล่าววว่า ส.บ.ม.ท.ไม่เห็นด้วยกับหลักเกณฑ์การรับนักเรียนใหม่ที่ กพฐ.มีมติประกาศออกไป ซึ่งตนเห็นควรให้กลับมาใช้หลักเกณฑ์เดิมที่มี 7 ข้อมากกว่า โดยเฉพาะการตัดข้อที่ให้นักเรียนทำคะแนนสอบคัดเลือกเท่ากันในลำดับสุดท้ายออกไป ตนมีคำถามว่าหากปฎิบัติจริงจะตัดสินอย่างไร เช่น โรงเรียนแห่งหนี่งประกาศรับนักเรียนเข้าเรียน จำนวน 40 คน แต่คนที่ 40 มีคะแนนเท่ากัน 5 คน จะคัดเลือกตัดสิทธิใครออกอย่างไรเป็นต้น อีกทั้งในประเด็นยกเลิกรับนักเรียนโควต้าข้อตกลงโรงเรียนคู่พัฒนา นั้นก็ไม่มีความเหมาะสมไม่ควรตัดออก เพราะการให้โควต้าเด็กกลุ่มโรงเรียนร่วมพัฒนาถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แก่นักเรียน รวมถึงการตัดนักเรียนที่อยู่ในอุปการะของผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับโรงเรียนอย่างต่อเนื่องก็ไม่เห็นด้วย เพราะต้องยอมรับด้วยว่ารัฐไม่สามารถอุดหนุนให้โรงเรียนได้อย่างเพียงพอ ซึ่งที่โรงเรียนมีคุณภาพอยู่ได้ทุกวันนี้ก็มาจากการดูแลของผู้ทำคุณประโยชน์ และจำเป็นต้องให้ผู้ทำคุณประโยชน์ให้โรงเรียนได้มีส่วนร่วมในการพิจารณานักเรียนเข้าเรียนด้วย แต่ต้องคสบคุมจากคณะกรรมาการสถานศึกษาด้วย
นายก ส.บ.ม.ท. กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้มาตรการของ ป.ป.ช.ถือเป็นการทำร้ายวงการศึกษาเหมือนเห็นว่าการศึกษามีแต่เรื่องทุจริต ซึ่งทางสมาคมฯอยากถาม ป.ป.ช.ว่าใช้สถิติอะไรคิดหรือมีข้อมูลว่ามีโรงเรียนเรียกรับแป๊ะเจี๊ย โดยถ้ามีข้อมูลเหล่านั้นก็ให้เอาออกมาเปิดเผยและนำคนทุจริตจริงๆมาลงโทษ ทั้งนี้ ป.ป.ช.ต้องออกมาชี้แจงสถิติให้ชัดเจนว่ามีโรงเรียนใดเรียกรับเงินแป๊ะเจี๊ยะบ้างและเป็นจำนวนกี่แห่งถึงจะต้องมีมาตรการต่างๆออกมาจนต้องมีการปรับหลักเกณฑ์การรับนักเรียนเกิดขึ้น
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก เดลินิวส์ วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562