"หมอจรัส" เผย นายกรัฐมนตรี ห่วงปฎิรูปการศึกษา ย้ำ ต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ชู 3 แนวทางแก้ปัญหาสำเร็จ ยกระดับคุณภาพ-ลดเหลื่อมล้ำ-สร้างความถนัดการเรียนรู้ให้เด็กรายบุคคล
วันนี้ (21 ม.ค.) ที่ โรงแรมตรัง กทม. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) และ คณะกรรมการอิสระเพื่อปฎิรูปรูปการศึกษา (กอปศ.) จัดประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง กลไกและระบบการบริหารงานบุคคลของครูและบุลคลากรทางการศึกษา โดยศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา ประธาน กอปศ. กล่าวตอนหนึ่งว่า การระดมความคิดเห็นครั้งนี้มีความสำคัญมาก เพื่อที่ กอปศ.จะนำประโยชน์และเสียงสะท้อนจากการระดมความคิดเห็นมาปรับปรุงระบบการศึกษาให้ดีขึ้น ซึ่งการปฎิรูปการศึกษาจำเป็นจะต้องมุ่งปรับระบบให้เกิดความสำเร็จ 3 ด้าน คือ 1.คุณภาพการศึกษาไทยต้องเทียบเท่าระดับสากล 2.ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้หมดจากประเทศไทยด้วยการให้เพิ่มทุนการศึกษาให้แก่เด็กด้อยโอกาส และ3.การสร้างความถนัดทางการเรียนรู้ให้เแก่เด็ก ซึ่งสิ่งสำคัญเราจะต้องคืนครัทธาให้แก่ครู เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ด้านการศึกษา ระบุว่า ให้มีกลไกและระบบการผลิต คัดกรอง และพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครูให้ได้ผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู ดังนั้นครูถือเป็นหัวใจสำคัญของการปฎิรูปการศึกษา เมื่อได้ครูดีครูเก่งมีประสิทธิภาพก็จะได้เด็กที่เติบโตเป็นกำลังของประเทศไทยในอนาคตได้
ประธาน กอปศ.กล่าวต่อไปว่า การปฎิรูปการศึกษามีหลายเรื่องที่สามารถขับเคลื่อนให้สำเร็จได้ในทันที และก็ยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่สามารถทำได้เพราะยังติดข้อจำกัดบางอย่าง แต่ไม่ว่าสิ่งที่เราดำเนินการอยู่จะติดปัญหาอะไรก็ตามการปฎิรูปการศึกษาจะเกิดความสำเร็จไม่เกิน 10 ปีอย่างแน่นอน อีกทั้งเมื่อเร็วๆนี้ตนได้มีการโอกาสพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีติดตามภาระกิจการปฎิรูปการศึกษาว่าเดินหน้าไปถึงไหนแล้ว ซึ่งตนได้รายงานให้นายกฯรับทราบถึงภาระกิจกอปศ.ที่ดำเนินการอยู่ โดยเฉพาะการสร้างเด็กไทยใน๕ตวรรษที่ 21 การปฎิวัติดิจิทัล และการให้อิสระโรงเรียนในการบริหารจัดการ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะทำให้การปฎิรูปการศึกษามีความสำเร็จ ทั้งนี้นายกฯจึงได้กำชับว่าการปฎิรูปการศึกษาไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไรจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ แต่อย่างไรก็ตามการปฎิรูปการศึกษาจะประสบผลสำเร็จได้ตนเชื่อว่าทุกคนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องตระหนักถึงปัญหาของการศึกษาไทยและช่วยกันแก้ปัญหาให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562